SEM คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรลงทุน ในการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา

SEM คืออะไร?

SEM (Search Engine Marketing) คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในการขยายการเข้าถึงลูกค้าออนไลน์ การลงทุนใน SEM สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 200% ในบางธุรกิจ โดยใช้โฆษณาผ่านเครื่องมือค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทำให้คุณไม่พลาดโอกาสสำคัญในการเจาะตลาดใหม่

บทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SEM (Search Engine Marketing) และวิเคราะห์ถึงความสำคัญของการลงทุนในกลยุทธ์นี้ในธุรกิจ โดยเน้นที่การอธิบายวิธีการทำ SEM, ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการใช้ SEM ในการเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มยอดขาย รวมถึงการให้ข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ประสิทธิภาพของ SEM และวิธีที่ธุรกิจสามารถเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

SEM คืออะไร?

SEM (Search Engine Marketing) หรือ การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา คือกระบวนการทำการตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (Search Engine Results Page – SERP) เช่น Google, Bing หรือ Yahoo โดยใช้วิธีการทั้งแบบที่ต้องชำระเงิน และแบบฟรีๆ โดยหลักการจะอิงจากคำค้นหา (Keyword) ตามกลุ่มเป้าหมาย เพื่อแสดงเว็บไซต์ธุรกิจของคุณให้ปรากฏในตำแหน่งที่เด่นชัดเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

การทำ SEM เน้นไปที่การใช้เครื่องมือค้นหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณเสนอ ซึ่งการใช้กลยุทธ์ SEM จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว โดยการใช้โฆษณาจ่ายเงิน (PPC) เช่น Google Ads หรือการทำ SEO เพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาจากการค้นหาทั่วไป

บทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SEM (Search Engine Marketing) และวิเคราะห์ถึงความสำคัญของการลงทุนในกลยุทธ์นี้ในธุรกิจ โดยเน้นที่การอธิบายวิธีการทำ SEM, ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการใช้ SEM ในการเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าและเพิ่มยอดขาย รวมถึงการให้ข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ประสิทธิภาพของ SEM และวิธีที่ธุรกิจสามารถเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

SEM คืออะไร?

ประเภทของ SEM (Search Engine Marketing) มีกี่รูปแบบ?

ประเภทของ SEM (Search Engine Marketing) แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักได้แก่ PPC (Pay-Per-Click) หรือ Paid search และอย่างที่สองคือ SEO (Search Engine Optimization) ทั้งสองวิธีนี้มีวิธีการทำงานและกระบวนการที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหาต่างๆ เช่น Google โดยการใช้ PPC ธุรกิจจะจ่ายเงินตามจำนวนคลิกในขณะที่ SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้สามารถปรากฏในตำแหน่งที่สูงในผลลัพธ์การค้นหาโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในระยะยาว ทั้งสองวิธีสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ SEM และช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการตลาดออนไลน์ลองไปดูเพิ่มเติมของแต่ละแบบกัน

  1. PPC (Pay-Per-Click) / Paid search

PPC หรือ Paid search เป็นรูปแบบการโฆษณาที่จะคิดค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่มีผู้คลิกโฆษณาของคุณ หรือก็คือเมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณบน Google (เช่น “บริการทำเว็บไซต์“) โฆษณาของคุณจะแสดงขึ้นในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหา หากผู้ใช้คลิกโฆษณา คุณจะต้องจ่ายเงินตามราคาต่อคลิกที่คุณตั้งไว้หรือที่มีการประมูลในแต่ละคำค้น (Keyword Bidding) การจ่ายเงินจะขึ้นอยู่กับราคาประมูลและคุณภาพของโฆษณาของคุณ (Quality Score)

ตัวอย่างเช่น

  • คำค้น = รับออกแบบเว็บไซต์
  • ราคา CPC (Cost Per Click) = 10 บาท
  • จำนวณผู้ใช้ที่คลิกโฆษณา = 10 ครั้ง

คุณจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวณทั้งหมด 100 บาท หรือจ่ายเงิน 10 บาทสำหรับทุกๆ การคลิกหนึ่งครั้งนั่นเอง

การตั้งค่าโฆษณา PPC

คุณสามารถเลือกคำค้นหาที่ต้องการให้โฆษณาของคุณแสดงเมื่อผู้คนค้นหาคำนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณให้บริการ “รับทำ SEO” คุณสามารถตั้งคำค้นหาว่า “SEO สำหรับธุรกิจ” หรือ “บริการรับทำ SEO ในไทย” แล้วโฆษณาของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาของผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องเป็นต้น

  1. SEO (Search Engine Optimization)

SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาและพัฒนาโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหาธรรมชาติ (Organic Search) โดยไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับการทำโฆษณา การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสถูกพบเห็นมากขึ้นจากผู้คนที่ค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณนำเสนอ และเมื่อคุณได้อันดับในการค้นหาสูงแล้ว การดึงดูดผู้เข้าชมจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการทำโฆษณาในระยะยาวด้วย

การทำ SEO แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ

  • On-Page SEO

On-Page SEO เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งในหน้าเว็บไซต์ของคุณเอง เช่น การใช้คำค้น (keywords) ที่เหมาะสมในหัวข้อ (title), คำอธิบาย (meta description), URL, เนื้อหาของบทความ, และการเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการรองรับการใช้งานบนมือถือ

  • Off-Page SEO

Off-Page SEO เกี่ยวข้องกับการสร้างลิงก์ (backlinks) จากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพมาที่เว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของ Domain และทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา

  • Technical SEO

Technical SEO เป็นการปรับปรุงโครงสร้างและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในด้านเทคนิค เช่น การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น การปรับปรุงโครงสร้าง URL ให้เป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหานั่นเอง

การทำ SEO อาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์และช่วยให้ธุรกิจเติบโตในโลกออนไลน์ในระยะยาวด้วย 

SEM

ทำไมธุรกิจต้องลงทุนใน SEM? 

การลงทุนใน SEM (Search Engine Marketing) นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มการมองเห็นธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์และสามารถดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากสถิติของ smartinsights พบว่า แพลตฟอร์มเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ยังคงครองการใช้งานเครื่องมือค้นหาเป็นอันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 82%ของการที่ผู้ใช้นิยมใช้เพื่อค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในปี 2023

เห็นได้ชัดว่า Google ยังคงเป็นผู้นำตลาด ซึ่งต้องนำมาพิจารณาในกลยุทธ์ดิจิทัล เพราะตลาดยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือเหตุผลที่ธุรกิจต้องลงทุนใน SEM ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

  1. เพิ่มการมองเห็นในเครื่องมือค้นหา

SEM ช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจแสดงผลในตำแหน่งที่โดดเด่นบนหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาบริการหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

  1. ดึงดูดลูกค้าที่พร้อมซื้อ

SEM เน้นไปที่การเข้าถึงลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการในเวลานั้น ทำให้ธุรกิจมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า

  1. การปรับแต่งงบประมาณได้ตามต้องการ

การทำ SEM มีความยืดหยุ่นในการทำ ทั้งสามารถทำแบบฟรี (SEO) และแบบเสียค่าโฆษณา (Paid Search) ที่ปรับเปลี่ยนงบประมาณตามผลลัพธ์ที่ได้และความต้องการของธุรกิจ ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี

  1. วัดผลได้ทันที

SEM ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้ในเวลาจริง เช่น จำนวนคลิก, ค่าใช้จ่ายต่อการคลิก (CPC), และ ROI ซึ่งช่วยในการปรับกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น

ธุรกิจที่ไม่ลงทุนใน SEM อาจตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่สามารถแข่งขันได้กับคู่แข่งที่ใช้ SEM เพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนั้น การลงทุนใน SEM เป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

คุณจะเห็นแล้วว่าการลงทุนในการทำ SEM ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการมองเห็นออนไลน์ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างตรงจุดและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณยังไม่ได้เริ่มต้นลงทุนใน SEM ถึงเวลาแล้วที่จะพิจารณาความสำคัญของมันในการขยายธุรกิจของคุณในโลกดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ต่อไปเราจะมาพูดถึง

ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องทำ SEM ทั้ง 2 แบบหรือไม่? และต้องพิจรณาอะไรก่อนทำ

หากจะตัดสินใจทำ SEM (Search Engine Marketing) ทั้งแบบ PPC (Pay-Per-Click) และ SEO (Search Engine Optimization) ล้วนมีข้อดีทั้งสองแบบ แต่ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องทำทั้งสองแบบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และสถานการณ์เฉพาะของธุรกิจคุณด้วย แต่เพราะมีข้อดีทั้งสองแบบที่สามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและดึงดูดลูกค้า ลองพิจารณาก่อนการตัดสินใจทำดังนี้

  1. เป้าหมายทางธุรกิจ
  • ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ทันที เช่น ต้องการเพิ่มยอดขายในระยะสั้น หรือดึงดูดลูกค้าผ่านการค้นหาที่จ่ายเงิน เช่น Google Ads, PPC เป็นทางเลือกที่ดี
  • แต่ถ้าคุณมองหาผลลัพธ์ระยะยาวและความยั่งยืน SEO จะช่วยสร้างการเข้าถึงที่เป็นธรรมชาติและมั่นคง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะใช้เวลาในการทำที่มากกว่า
  1. งบประมาณ
  • การทำ PPC/Paid Search สามารถเริ่มต้นได้ทันทีและมีการควบคุมงบประมาณ แต่ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับจำนวนคลิก และค่า Cost ของคีย์เวิร์ดคำค้นหานั้น
  • SEO อาจต้องใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์ แต่มักจะคุ้มค่าในระยะยาว เพราะไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิกเหมือนกับ PPC
  1. ความสามารถในการแข่งขัน
  • ถ้าตลาดของคุณมีการแข่งขันสูง การใช้ PPC ช่วยให้คุณโดดเด่นในผลการค้นหา เช่น หากมีคู่แข่งมากมายที่ใช้ SEO เพื่อดึงดูดลูกค้า การใช้ PPC ช่วยให้คุณสามารถ แสดงผลลัพธ์ของคุณทันที ในตำแหน่งที่เด่นกว่า เช่น ด้านบนของผลการค้นหาหรือในรูปแบบโฆษณาบนเว็บไซต์ต่างๆ แต่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามการแข่งขันในแต่ละคำค้น (keywords)
  • หากตลาดไม่ค่อยมีการแข่งขัน SEO อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เพราะ การทำ SEO จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน และมีการเข้าถึงที่เป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิก แต่ใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์และต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่องในการปรับแต่งและพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลัก SEO อยู่ตลอด
  1. การพิจารณาความเสี่ยง
  • PPC/Paid Search

มีความเสี่ยงที่สูงกว่าในแง่ของการจ่ายเงิน หากตั้งแคมเปญผิดอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง แคมเปญ PPC ต้องมีการตรวจสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเปลี่ยนคำค้น, การปรับโฆษณา, และการจัดการงบประมาณให้เหมาะสม ซึ่งต้องใช้เวลาและความพยายามในการควบคุม

  • SEO 

มีความเสี่ยงในการลงทุนระยะยาวและไม่สามารถเห็นผลทันที แต่หากทำได้ดีแล้ว จะมีผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิกตลอดเวลาถึงแม้ SEO จะเป็นวิธีที่ยั่งยืน แต่การแข่งขันในคำค้นบางคำอาจสูงมาก ซึ่งทำให้การขึ้นอันดับได้ยากและต้องใช้เวลานาน นอกจากนี้ Google ยังมีการเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมเป็นระยะ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ จึงอาจต้องใช้ทีมที่มีความเชี่ยวชาญมาดูแล

หลักการเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมในการทำ SEM/PPC และ SEO

การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ PPC/Paid Search และ SEO เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์จากแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้อย่างมาก นี่คือหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเลือกคำค้นหาสำหรับทั้งสองกลยุทธ์ลองมาดูกันว่ามีเทคนิคอย่างไรบ้าง

การวิจัยคำค้นหาสำหรับ PPC/Paid Search

  • การใช้เครื่องมือค้นหาคำค้นหา (Keyword Research Tools)
    • ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, SEMrush, Ahrefs, หรือ Ubersuggest เพื่อค้นหาคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูง และมีการแข่งขันที่เหมาะสม
  • คำนึงถึงการตั้งงบประมาณ
    • เลือกคำค้นหาที่ไม่แพงเกินไป และสามารถให้ผลตอบแทนที่สูง (โดยเฉพาะคำค้นหาที่สามารถนำมาซึ่งการขายหรือการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า)
  • คำค้นหายาว (Long-Tail Keywords)
    • เน้นคำค้นหาที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น “ซื้อรองเท้าผู้หญิงออนไลน์ในกรุงเทพฯ” ซึ่งมีความแม่นยำและการคลิกที่มีคุณภาพมากกว่า

การวิจัยคำค้นหาสำหรับ SEO

  • การเลือกคำหลัก (Primary Keywords)
    • คำหลักที่สะท้อนถึงธุรกิจหลักของคุณ เช่น “รับทำเว็บไซต์” หรือ “บริการ SEO”
  • การเลือกคำค้นหายาว (Long-Tail Keywords)
    • ใช้คำค้นหายาวเพื่อดึงดูดลูกค้าที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “ออกแบบเว็บไซต์สำหรับร้านค้าออนไลน์”
  • การวิเคราะห์การแข่งขัน (Competitive Analysis)
    • ดูว่าเว็บไซต์คู่แข่งใช้คำค้นหาประเภทไหนและสามารถเลือกคำที่มีการแข่งขันน้อยหรือมีโอกาสชนะได้ง่ายกว่า
  • การใช้คำค้นหาที่เป็นคำถาม
    • เช่น “วิธีการเลือกบริการ SEO?” หรือ “ทำไมต้องใช้ PPC?” ซึ่งสามารถดึงดูดผู้ใช้ที่กำลังมองหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้น

การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมตามประเภทธุรกิจ

  • สำหรับธุรกิจ B2C (Business to Consumer)
    • เน้นคำค้นหาที่ผู้บริโภคใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น “ซื้อโทรศัพท์มือถือราคาถูก”
  • สำหรับธุรกิจ B2B (Business to Business)
    • ใช้คำค้นหาที่เป็นคำเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น “บริการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO สำหรับธุรกิจ”
  • บริการท้องถิ่น
    • หากธุรกิจมีบริการในพื้นที่เฉพาะ ควรเลือกคำค้นหาที่รวมชื่อเมืองหรือพื้นที่ เช่น “ร้านกาแฟในเชียงใหม่”

การวิเคราะห์คำค้นหาจากข้อมูลที่มีอยู่

  • ดูข้อมูลการค้นหาที่มีอยู่ (Search Trends)
    • สามารถใช้เครื่องมือ Google Trends เพื่อดูแนวโน้มของคำค้นหาต่างๆ และการเติบโตในระยะยาว
  • ดูการคลิกจากแหล่งต่างๆ
    • วิเคราะห์ว่าเว็บไซต์หรือโฆษณาใดที่ได้รับคลิกมากที่สุด และใช้คำค้นหาที่นำไปสู่การคลิกของผู้ใช้ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการจริงๆ

การเลือกคำค้นหาตาม Intent ของผู้ค้นหา

  • Informational Intent – คำค้นหาที่มีเป้าหมายเพื่อหาข้อมูล เช่น “วิธีการเลือก SEO ที่ดีที่สุด”
  • Navigational Intent – คำค้นหาที่มีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงเว็บไซต์เฉพาะ เช่น “เว็บไซต์ของ Apple”
  • Transactional Intent – คำค้นหาที่มีเป้าหมายเพื่อซื้อหรือทำธุรกรรม เช่น “ซื้อรองเท้าผ้าใบ Nike ออนไลน์”

การทดสอบคำค้นหา (A/B Testing)

  • ทดสอบคำค้นหาหลายๆ แบบ
    • ทำการทดสอบคำค้นหาหลายๆ ตัวแปรเพื่อดูว่าอะไรทำให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในแง่ของคลิกและการแปลง

การประเมินผลการเลือกคำค้นหา

  • การติดตามผลด้วยเครื่องมือ Analytics
    • ใช้ Google Analytics หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินประสิทธิภาพของคำค้นหาที่เลือก
  • การปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้
    • ปรับการใช้คำค้นหาให้เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่ได้รับ และหากคำค้นหามีประสิทธิภาพไม่ดี ควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์

การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมในการทำ PPC/Paid Search และ SEO เป็นกระบวนการที่สำคัญมากทั้งในแง่ของการเพิ่มการเข้าถึงผู้ใช้และเพิ่มโอกาสในการแปลงลูกค้า การทำ Keyword research และการทดสอบอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจได้รับผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดจากแคมเปญ


หากคุณยังสงสัยว่า SEM จะช่วยธุรกิจของคุณได้อย่างไร? อย่าปล่อยให้การเติบโตของธุรกิจช้าไป การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาช่วยเพิ่มการมองเห็นและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ และเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้ SEM เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปข้างหน้า ติดต่อ Rise Group Asia วันนี้ เรายินดีให้คำปรึกษาฟรีให้ RGA ช่วยวางกลยุทธ์ ที่คุ้มค่าและทรงพลัง กว่าที่เคย ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!

Facebook: risegroupasia