SEO คืออะไร? อธิบายแบบเข้าใจง่าย พร้อมวิธีดันเว็บให้ติดอันดับ

SEO คืออะไร?

คุณรู้ไหมว่า 75% ของผู้ใช้มักจะไม่เลื่อนผ่านหน้าแรกของ Google นั่นหมายความว่า หากเว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหา คุณอาจจะพลาดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าไปเลย การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหา เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงจากผู้ใช้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจของคุณ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของ SEO ต่อเว็บไซต์และการติดอันดับในการค้นหาบน Google ว่ามีหลักการทำงาน และสำคัญยังไงต่อเว็บไซต์ของคุณ การเข้าใจพื้นฐานของ SEO จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเข้าถึงเป้าหมายได้มากขึ้นนั่นเอง

Table of contents

  1. SEO คืออะไร? 
  2. SEO vs. PPC แตกต่างกันยังไง?
  3. ความสำคัญของการทำ SEO
  4. เครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง?
  5. องค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO
  6. วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา SEO
  7. หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพ E-E-A-T คืออะไร?
  8. หลักของการ สร้างลิ้งค์ (Link Building)
  9. แนวโน้มของการทำ SEO ในปัจจุบัน
  10. Local SEO คืออะไร?
  11. ประเภทเฉพาะของการทำ SEO (SEO Specialties)
  12. เทรนด์ SEO ที่น่าติดตาม

SEO คืออะไร? 

SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น และให้เว็บไซต์ปรากฏกับผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ผ่านการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) สำหรับคำค้นหา หรือ วลีที่มีความเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ คุณค่าต่อกลุ่มผู้ค้นหาตามจุดประสงค์ที่ต้องการ

เป้าหมายของ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ปรากฏในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหาสำหรับคำ หรือ วลีที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์สูงสุดต่อผู้ค้นหา เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์ การทำ SEO ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในผลลัพธ์การค้นหาทำให้ผู้คนสามารถค้นหาข้อมูล สินค้า หรือบริการที่เป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

SEO vs. PPC แตกต่างกันยังไง?

SEO (Search Engine Optimization)

SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง ของเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เว็บไซต์จัดอันดับสูงขึ้นในผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERPs) โดยไม่ต้องจ่ายเงิน การมุ่งเน้นของ SEO คือการดึงดูดคลิกจากผลลัพธ์การค้นหาธรรมชาติ (Organic Search Results) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโฆษณาแบบจ่ายเงิน ต่างจาก PPC คือ

PPC (Pay-Per-Click)

PPC หรือ Paid ads/Paid search คือการโฆษณาผ่านการจ่ายเงินที่ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินทุกครั้งที่มีผู้คลิกโฆษณาของเขา โดยการโฆษณานี้จะปรากฏขึ้นในตำแหน่งที่เด่นบนผลการค้นหา PPC มุ่งเน้นการดึงดูดคลิกจากผลลัพธ์ที่จ่ายเงิน

หรือพูดง่ายๆ ว่า SEO เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับสูงในผลลัพธ์การค้นหาฟรี (ออร์แกนิก) ส่วน PPC คือการใช้โฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก โดยผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินให้กับเครื่องมือค้นหาทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของตนนั่นเอง

ความสำคัญของการทำ SEO 

SEO (Search Engine Optimization) มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เนื่องจากเครื่องมือค้นหามีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ซึ่งส่งผลให้ SEO เป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาที่ออร์แกนิก (ไม่ต้องจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นแหล่งทราฟฟิกที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์หลายๆ แห่ง

อ้างอิงข้อมูลจาก Search Engine Land ที่ระบุว่า “การค้นหาทางออร์แกนิก (organic search) มักจะสร้างการเข้าชมเว็บไซต์ถึง 53% ของทราฟฟิกทั้งหมด” และมีการค้นหามากกว่า 8.5 พันล้านครั้งทุกวันใน Google ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีเว็บไซต์ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา (search engine friendly) เพราะการมีอันดับที่ดีในผลลัพธ์การค้นหาช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมหาศาล

นอกจากนี้เว็บไซต์ SEO tools อย่าง Ahrefs ยังเน้นถึงความสำคัญของ SEO ในการสร้างทราฟฟิกที่ฟรีและยั่งยืน โดยได้ระบุเอาไว้ว่า “ทราฟฟิกที่ได้จาก SEO นั้นฟรี” จากตัวอย่างบล็อกของ Ahrefs ที่ได้รับการเข้าชมประมาณ 572 000 ครั้งต่อเดือนจากการค้นหาผ่าน Google Ahrefs บอกว่าหากไม่มีการทำ SEO  ทางบริษัทอาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 0.5 ล้านดอลลาร์ในการโฆษณาเพื่อดึงดูดทราฟฟิกขนาดนั้น

การทำ SEO จึงเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญเพราะช่วยขับเคลื่อนการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาออร์แกนิกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ (ฟรี) และสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และยังเป็นการสร้างรากฐานการตลาดที่ยั่งยืนที่สามารถแข่งขันได้ดีกว่าโฆษณาแบบจ่ายเงินในระยะยาว

เครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง?

Search Engines ทำงานยังไง?

ก่อนทำ SEO ต้องรู้ก่อนว่าเครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง เครื่องมือค้นหามีขั้นตอนหลักในการทำงานเพื่อค้นหาและแสดงผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับคำค้นหาของผู้ใช้ โดยการทำงานนี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอนหลักๆ ได้แก่

1. Crawling (การสำรวจหน้าเว็บ)

ในขั้นตอนนี้ เครื่องมือค้นหาจะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า เว็บครอว์เลอร์ (Web crawler) หรือ บอท (bot) เพื่อเดินทางไปยังเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตและดึงข้อมูลจากหน้าเว็บต่างๆ โดยวิธีการติดตามลิงก์ที่เชื่อมโยงกันไปในแต่ละหน้าไปเรื่อยๆ

2. Rendering (การแสดงผลหน้าเว็บ)

เมื่อเครื่องมือค้นหาเข้าถึงหน้าเว็บแล้ว ระบบจะทำการ เรนเดอร์ (render) หรือแสดงวิธีที่หน้าจะถูกแสดงผลแก่ผู้ใช้ โดยการใช้ข้อมูลจาก HTML  JavaScript  และ CSS เพื่อให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าหน้านั้นควรจะแสดงผลออกมาให้ถูกต้องอย่างไร

3. Indexing (การจัดเก็บข้อมูล)

หลังจากเข้าถึงหน้าเว็บและแสดงผลแล้ว ข้อมูลจากหน้าเว็บที่ถูกค้นพบจะถูก จัดทำดัชนี (Index) โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลเมตา Meta ของหน้าเว็บ เช่น คำหลัก (Keywords)  หัวข้อ (Headings)  และ URL จากนั้นจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ใน ดัชนีการค้นหา (Search index) ซึ่งเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลของหน้าเว็บทุกๆ หน้าเอาไว้

4. Ranking (การจัดอันดับ)

เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหา  เครื่องมือค้นหาจะใช้ อัลกอริธึม (Algorithms) ในการประเมินและจัดอันดับผลลัพธ์ตามความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหาบนหน้าเว็บ โดยอัลกอริธึมจะคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือ  คุณภาพของเนื้อหา  ความตรงกับคำค้นหา และการเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลอื่นๆ

การเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไรโดยการ ครอว์ล  จัดทำดัชนี  และ จัดอันดับ หน้าที่สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพราะอัลกอริธึมที่ใช้ในการจัดอันดับนั้นมีความซับซ้อนและพัฒนาอยู่เสมอ

องค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO

การทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการปรับปรุงหลายๆ ด้านของเว็บไซต์ โดยแต่ละส่วนมีความสำคัญที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถขึ้นอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google และดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้น ต่อไปนี้คือองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการทำ SEO ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

องค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO

1. Technical SEO (SEO ด้านเทคนิค)

Technical SEO เป็นการปรับปรุงด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและทำงานได้ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงความสามารถในการ ครอว์ล (crawlability)  การเพิ่ม ความเร็วในการโหลด (site speed)  และการทำให้เว็บไซต์ เหมาะสมกับมือถือ (mobile-friendliness) เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและสะดวกสบาย และยังมีประเด็นสำคัญอื่นๆ ดังนี้

– Canonical Tags

Canonical Tag (หรือ rel=”canonical”) เป็นโค้ด HTML ที่ใช้เพื่อบอก Search Engine ว่า URL ใดเป็นเวอร์ชัน “หลัก” หรือ “ต้นฉบับ” ของหน้าที่อาจมีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนหรือคล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์เดียวกัน Tag นี้ช่วยป้องกันปัญหา Duplicate Content ซึ่งอาจทำให้ Google สับสนและส่งผลเสียต่ออันดับ SEO โดย Canonical Tag จะอยู่ในส่วน <head> ของหน้าเว็บไซต์

– Hreflang Tags (สำหรับทำ International SEO)

Hreflang Tag คืออะไร Hreflang Tag (Hypertext Reference Language) คือ Attribute ใน HTML ที่ใช้เพื่อระบุภาษาและภูมิภาคเป้าหมายของเนื้อหาในหน้าเว็บ เพื่อบอก Search Engine ว่าหน้าเดียวกันนี้มีเวอร์ชันสำหรับภาษาหรือภูมิภาคอื่นอยู่ สำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลายภาษาหรือต้องการกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ในภูมิภาคต่างๆ ช่วยให้ Google แสดงผลลัพธ์การค้นหาที่ตรงกับภาษาและตำแหน่งที่ตั้งของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในประเทศเป้าหมาย ป้องกันปัญหา Duplicate Content ที่เกิดจากเนื้อหาเดียวกันในหลายภาษานั่นเอง

– XML Sitemaps

XML Sitemap คือไฟล์ที่เปรียบเสมือนแผนผังหรือสารบัญของเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นสำหรับ Search Engine โดยเฉพาะ ไฟล์นี้จะรวบรวมรายการ URL ทั้งหมดที่คุณต้องการให้ Search Engine รู้จักและเข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) และจัดทำดัชนี (Index) ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยให้ Googlebot (และบอทอื่นๆ) ค้นพบหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีหลายร้อยหรือหลายพันหน้า หรือเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน ถึงแม้ Search Engine จะสามารถค้นพบหน้าเว็บได้เองโดยไม่ต้องใช้ Sitemap แต่การมี Sitemap จะช่วยเพิ่มโอกาสให้หน้าสำคัญๆ ถูก Index และช่วยบอก Google ถึงความสำคัญของหน้าเหล่านั้น

– Robots.txt

Robots.txt คือไฟล์ข้อความที่อยู่ใน Root Directory ของเว็บไซต์ ทำหน้าที่เป็น “ป้ายบอกทาง” หรือ “ข้อจำกัด” สำหรับบอทของ Search Engineไฟล์นี้จะบอกบอทว่าส่วนใดของเว็บไซต์ที่อนุญาตให้เข้ามาเก็บข้อมูล (Allow) และส่วนใดที่ไม่ต้องการให้เข้ามาเก็บข้อมูล (Disallow) ช่วยจัดการ Crawl Budget ของเว็บไซต์ โดย directing ให้บอทโฟกัสเฉพาะหน้าสำคัญๆ ที่ต้องการให้ติดอันดับ ทั้งป้องกันไม่ให้ Search Engine Index หน้าที่ไม่ต้องการเปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น หน้า Admin, หน้า Login หรือหน้าที่กำลังพัฒนา

– การใช้ SSL (HTTPS)

SSL (Secure Socket Layer) / TLS (Transport Layer Security) คือโปรโตคอลความปลอดภัยที่ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์เว็บไซต์ การติดตั้ง SSL Certificate บนเว็บไซต์จะทำให้ URL ของเว็บไซต์เปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) เพราะ Google ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน อีกทั้ง HTTPS เป็นปัจจัยหนึ่งในการจัดอันดับ (Ranking Signal) นั่นเอง

– Core Web Vitals

Core Web Vitals คือชุดของเมตริกที่ Google ใช้ในการวัดประสบการณ์ของผู้ใช้จริงบนหน้าเว็บ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพในการโหลด (Loading Performance), การโต้ตอบ (Interactivity), ความเสถียรของภาพ (Visual Stability) Google ได้รวม Core Web Vitals เข้าเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยการจัดอันดับ (Page Experience) นั่นคือ เว็บไซต์ที่มีคะแนน Core Web Vitals ที่ดี มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา

2. On-site SEO (ON-Page)

On-site SEO หรือที่หลายคนเรียกว่า On-Page คือการปรับปรุงเนื้อหาภายในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับ โดยการเลือกใช้งาน คำค้นหา (keywords) หรือวลีอย่างเหมาะสม การสร้าง เนื้อหาคุณภาพ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน โดยต้องแน่ใจว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เกี่ยวข้องมีคุณค่าต่อผู้เยี่ยมชมสำคัญเป็นอับดับแรก

– วิธีการใส่ Keyword ในองค์ประกอบ On-Page ที่สำคัญ

การใส่ Keyword ในองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การยัดคำ (Keyword Stuffing) แต่เป็นการนำ Keyword หลักและ Keyword รองมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติมีความหมาย เพื่อช่วยให้ Search Engine และผู้ใช้เข้าใจว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร

  • Title Tag เป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นในผลการค้นหา (SERP) เป็นปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ช่วยบอกทั้ง Search Engine และผู้ใช้ว่าเนื้อหาในหน้านั้นคืออะไร โดยเขียนให้ดึงดูดความสนใจสื่อสารเนื้อหาของหน้าได้อย่างชัดเจน
  • Meta Description เป็นข้อความสั้นๆ ที่ปรากฏใต้ Title Tag ในผลการค้นหา แม้จะไม่ใช่ปัจจัยการจัดอันดับโดยตรง แต่มีผลอย่างมากต่ออัตราการคลิกผ่าน Click-Through Rate (CTR) ช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจว่าจะคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ โดยควรมี Keyword หลักและ Keyword รองที่เกี่ยวข้อง เพื่อเน้นย้ำว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา
  • URL ช่วยให้ผู้ใช้และ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์เนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น URL ที่สะอาดสื่อความหมายมักจะมีอันดับที่ดีกว่า โดยควรใช้ Keyword หลักหรือคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน URL ทำให้ URL สั้น กระชับ อ่านง่าย
  • Header Tags ใช้เพื่อจัดโครงสร้างเนื้อหาบนหน้าเว็บ แบ่งเนื้อหาเป็นส่วนๆ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ช่วยให้ Search Engine เข้าใจลำดับความสำคัญของหัวข้อต่างๆ ในหน้า
    • H1 Tag: ควรมีเพียง 1 Tag ต่อ 1 หน้า ควรมี Keyword หลักของหน้านั้นอยู่
    • H2-H6 Tags: ใช้เป็นหัวข้อย่อยเพื่อแบ่งเนื้อหาในส่วนต่างๆ สามารถใส่ Keyword รองหรือคำที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    • ใช้ตามลำดับชั้น (H1 > H2 > H3…) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของหัวข้อ
    • ช่วยให้เนื้อหาดูเป็นระเบียบ อ่านง่ายสแกนหาข้อมูลที่ต้องการได้สะดวก
    • หลีกเลี่ยงการใช้ Header Tags เพื่อปรับขนาดตัวอักษรเท่านั้น เป็นกการเข้าใจผิด

– Internal Linking Strategy

Internal Linking คืออะไร Internal Link คือการเชื่อมโยง (Link) จากหน้าหนึ่งบนเว็บไซต์ของคุณไปยังอีกหน้าหนึ่งบนเว็บไซต์เดียวกัน Internal Link เป็นเส้นทางให้ Googlebot ค้นพบหน้าใหม่ๆ ทำความเข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณ Anchor Text (ข้อความที่ใช้เป็นลิงก์) ควรเป็นคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าปลายทางรวมทั้งควรใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง (อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ยัดคำ) และออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ (เช่น แบบ Silo Structure) สร้างลิงก์ที่เชื่อมโยงหน้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน

3. Off-site SEO (Off-Page)

Off-site SEO หรือที่หลายคนเรียกว่า Off-Page เป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์เพิ่มอำนาจโดเมนรวมถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ทำได้โดยการสร้าง ลิงก์เชื่อมโยง (link building) จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ บวกกับการใช้ การตลาดในโซเชียลมีเดีย (social media marketing) เพื่อเพิ่มทราฟฟิกการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

4. Keyword Research (การวิจัยคำค้นหา)

Keyword Research คือการค้นหา คำหลัก หรือ วลี ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อช่วยในการดึงดูดผู้เยี่ยมชม โดยต้องคำนึงถึงคำค้นหาที่ผู้ใช้งานมักใช้ในการค้นหาข้อมูลเรื่องนั้นๆ เป็นหลัก

5. Search Intent (ความตั้งใจในการค้นหา)

คือการเข้าใจถึง เหตุผล หรือความตั้งใจของผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูลว่าผู้ใช้ต้องการค้นหาสิ่งนี้เพื่ออะไร เพราะจะทำให้เนื้อหาของเว็บไซต์ที่เราสร้างสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างตรงจุดมากที่สุด

6. Content Quality (คุณภาพของเนื้อหา)

เป็นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยเนื้อหาต้องช่วยแก้ปัญหาหรือให้ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการได้

7. User Experience (UX)

การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการออกแบบที่ใช้งานง่ายและการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้นด้วย

การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องการการรวมกันของการปรับปรุงด้านเทคนิค  การสร้างเนื้อหาคุณภาพ  การพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX)  และความพยายามในการสร้างลิงก์เชื่อมโยงจากภายนอกเว็บไซต์ (off-page efforts) เช่น การสร้างลิงก์ (link building) รวมกันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาที่สูง

วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา SEO

การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาคือการปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการของทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้อง สอดคล้องกับคำค้นหาของผู้ใช้ และมีคุณภาพสูงสุด  เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสสูงสุดในการเติบโตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

  • เนื้อหาที่เกี่ยวข้องมีคุณค่า
    การสร้างเนื้อหาที่มีความ เกี่ยวข้อง (Relevant)  ไม่ซ้ำซ้อน (Unique)  เขียนได้ดี (Well-written)  ทันสมัย (Up-to-date) อื่นๆ เช่น มีมัลติมีเดีย (Multimedia) จำพวก รูปภาพ  วิดีโอ หรือกราฟิก ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้มากขึ้น
  • การปรับแต่งส่วนต่างๆ ของเนื้อหา
    การปรับแต่ง title tags  meta descriptions  header tags/ image alt text เป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO เพราะช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับคำค้นหาหรือไม่ ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลลัพธ์การค้นหาได้ง่ายขึ้น
  • เนื้อหาที่มีคุณสมบัติพิเศษ

เนื้อหาที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหา ซึ่งจากข้อมูลของ Ahrefs เนื้อหาที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้

1. Helpful (มีประโยชน์)

เนื้อหาควรมีความสามารถในการตอบโจทย์หรือแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้งานเข้ามาที่เว็บไซต์ พวกเขาคาดหวังว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของตน เนื้อหาที่เป็นประโยชน์จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ชม

2. Easy to digest (อ่านง่ายและเข้าใจได้ไม่ยาก)

เนื้อหาควรมีความเข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อน การใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไปจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจเนื้อหาได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การแบ่งย่อหน้าหรือใช้หัวข้อย่อยยังช่วยทำให้การอ่านและการค้นหาข้อมูลในเนื้อหาสะดวก

3. Well-structured (จัดระเบียบเนื้อหาอย่างดี)

การจัดระเบียบเนื้อหาด้วยการใช้หัวข้อหลักและหัวข้อย่อย (Headings) อย่างชัดเจน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณและจัดอันดับได้ดีขึ้น เช่น การใช้ลำดับหรือรายการ (lists) เพื่อแบ่งข้อมูลในลักษณะที่เข้าใจง่ายก็เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านเนื้อหาด้วย

4. Unique (มีความพิเศษและไม่ซ้ำกับแหล่งข้อมูลอื่น)

เนื้อหาที่ไม่ซ้ำใครและไม่เหมือนกับเว็บไซต์อื่นๆ มีความสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา Google เนื้อหาที่มีความพิเศษสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับเว็บไซต์ของคุณ

5. Fresh (มีความสดใหม่และอัปเดตอยู่เสมอ)

เนื้อหามีความสดใหม่และอัปเดตสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดูทันสมัยและมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น Google มักจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้ในปัจจุบัน

เนื้อหาคุณภาพสูงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ เนื้อหาควรจะมีความ เกี่ยวข้อง ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ดึงดูดผู้ใช้งาน และ ปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหามากที่สุดนั่นเอง

E-E-A-T คืออะไร?

หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพ E-E-A-T คืออะไร?

E-E-A-T คือหลักเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของผลลัพธ์การค้นหา โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ YMYL (Your Money or Your Life) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  การเงิน  หรือเรื่องที่สามารถมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้ใช้โดยตรง เราจะอธิบาย E-E-A-T แต่ละหัวข้อไว้ดังนี้

E – Experience (ประสบการณ์)

Google มองหาการแสดงประสบการณ์จริงจากผู้เขียนเนื้อหาหรือแหล่งข้อมูลที่สามารถแสดงให้เห็นว่าเขียนโดยผู้มีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่กำลังกล่าวถึง การที่ผู้เขียนมีประสบการณ์สามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้นนั่นเอง

E – Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

ความเชี่ยวชาญ หรือความรู้เชิงลึกในเรื่องที่กล่าวถึง ตัวอย่างเช่น การที่เนื้อหาถูกเขียนโดยผู้ที่ถนัดหรือเคยศึกษาในเรื่องนั้น หรือมีประสบการณ์ทำงานในสาขานั้นๆ จะเป็นการช่วยยืนยันว่าเนื้อหามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง

A – Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ)

การที่เว็บไซต์หรือผู้เขียนเนื้อหามี ความน่าเชื่อถือได้ ในสาขานั้นๆ เช่น เว็บไซต์มีการเขียนอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หรือมีการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง รวมทั้งการมีลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่มีค่า DA (Domain Authority) สูง หรือการรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ จะช่วยยืนยันว่าเว็บไซต์นั้นๆ เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

T – Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)

ความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดใน E-E-A-T เพราะ Google ต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ ถูกต้องและโปร่งใส การมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเนื้อหา การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เว็บไซต์เก็บ และการจัดการข้อมูลผู้ใช้ที่เข้าใช้งาน ล้วนมีผลต่อการประเมินความน่าเชื่อถือทั้งสิ้น

กล่าวคือ E-E-A-T เป็นหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินสำคัญที่ช่วยให้ Google ประเมินความถูกต้อง  ความโปร่งใส  และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และเนื้อหา โดย ความน่าเชื่อถือ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และการมี ลิงก์ที่อ้างอิงที่มีคุณภาพ (link quality) ก็มีความสำคัญมากกว่าการมีจำนวนลิงก์อยู่มาก (link quantity) นั่นเอง

Link Building

หลักของการ สร้างลิ้งค์ (Link Building) 

การสร้างลิ้งค์หรือ Link Building เป็นกระบวนการสำคัญในการทำ SEO ที่มุ่งเน้นการได้รับลิ้งค์ย้อนกลับมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการจัดอันดับในผลลัพธ์การค้นหาของ Google การมี backlinks จากเว็บไซต์ที่มี DA (Domain Authority) สูง ช่วยยืนยันความเชื่อถือได้ของเว็บไซต์ของคุณและเพิ่ม organic search traffic (การเข้าชมจากการค้นหาทั่วไป) ได้ดียิ่งขึ้น

Backlinks หรือลิงค์ย้อนกลับ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ จากข้อมูลของ Ahrefs – backlinks ทำหน้าที่เหมือนเป็น “การโหวต” ให้กับเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นๆ ยิ่งมีจำนวน Referring domains (ลิ้งค์จากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน) มากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการเพิ่มอันดับการค้นหามากขึ้นเท่านั้น 

เทคนิคการสร้างลิ้งค์ย้อนกลับ – Backlinks

Broken Link Building
เป็นการหาลิงก์ที่ “เสีย” หรือไม่ทำงานแล้วในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เพื่อขอให้ลิงก์นั้นๆ ชี้ไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องและยังมีทราฟฟิกดีในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ทั้งเว็บไซต์ของคุณและเว็บไซต์อื่นๆ ได้ประโยชน์ร่วมกัน

Guest Blogging
หรือที่เรียกกันว่า Guest Post เป็นการเขียนบทความบล็อกในเว็บไซต์อื่น และขอให้เจ้าของบล็อกนั้นให้ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและสร้างความสัมพันธ์กับผู้เขียนบล็อกด้วย

The Skyscraper Technique
การหาบทความที่ได้รับลิงก์จำนวนมากแล้วนำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น การเพิ่มข้อมูลหรือทำให้เนื้อหามีคุณภาพสูงกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ขอให้เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงไปยังบทความเดิมช่วยสร้างลิ้งค์เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณแทน

Resource Page Link Building
การได้ลิงก์จากหน้าเว็บที่รวบรวมแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ในธุรกิจของคุณ มาช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ

HARO (Help a Reporter Out)
การใช้บริการเช่น HARO ที่เชื่อมโยงกับนักข่าวหรือสื่อมวลชน เพื่อหาคำถามจากนักข่าวที่ต้องการคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ หากคุณสามารถให้คำตอบที่มีคุณภาพได้ ก็สามารถขอรับลิงก์กลับมาจากการเผยแพร่ในบทความของสำนักข่าวดังกล่าวได้

การสร้างลิ้งค์ย้อนกลับที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีความน่าเชื่อถือถือเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มอันดับการค้นหา Backlinks จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือช่วยยืนยันความเชื่อถือของเว็บไซต์และเพิ่ม Organic traffic การสร้างลิ้งค์เป็นส่วนที่ท้าทายแต่ก็สำคัญในกลยุทธ์ SEO ไม่แพ้การทำ On-Page ให้ดี อ่านต่อได้ในบทความ Backlink 101 วิธีสร้างและใช้งาน Backlink ให้ถูกวิธี

แนวโน้มของการทำ SEO ในปัจจุบัน

SEO มีรูปแบบการทำ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการที่เว็บไซต์ต่างๆ พยายามปรับแต่งเนื้อหาของตัวเองให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลลัพธ์การค้นหา ในช่วงแรกๆ การใช้เทคนิคเช่น การทำ keyword stuffing (การยัดคำค้นหาหลายๆ คำลงในเนื้อหา) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อทำให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับที่สูงเป็นต้น

ตามข้อมูลจาก Search Engine Land เขียนว่า SEO ได้รับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์มีวิธีการค้นหาข้อมูลบนเว็บที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้การปรับปรุง SEO ต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและมีคุณภาพมากขึ้นนั่นเอง และยังต้องเจอกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือค้นหาที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google ซึ่งต้องการให้เว็บไซต์ปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับด้วย

Local SEO

Local SEO คืออะไร?

Local SEO คือกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นธุรกิจของคุณในผลการค้นหาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ให้บริการลูกค้าในพื้นที่เฉพาะ หรือที่มีฐานลูกค้าในพื้นที่ท้องถิ่น โดยมีขั้นตอนและปัจจัยหลักๆ ดังนี้

  1. Google Business Profile
    การสร้าง Google Business Profile หรือโปรไฟล์ธุรกิจใน Google จะช่วยให้ธุรกิจของคุณแสดงผลในส่วนที่เรียกว่า “map pack” ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงแผนที่และรายการของธุรกิจในผลลัพธ์การค้นหาท้องถิ่น โปรไฟล์นี้จะรวมถึงชื่อ  ที่อยู่  หมายเลขโทรศัพท์  ชั่วโมงการเปิดทำการ  และรูปภาพของธุรกิจ
  2. รีวิว (Reviews)
    การขอให้ลูกค้าที่พอใจช่วยเขียนรีวิวในโปรไฟล์ GBP และเว็บไซต์รีวิวอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ รีวิวที่ดีสามารถช่วยปรับปรุงอันดับการค้นหาในเครื่องมือค้นหาได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
  3. ใช้คำค้นหาที่มีเจตนาการค้นหาเฉพาะพื้นที่ (Keywords with Local Search Intent)
    การใช้เครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs Keywords Explorer ในการค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการท้องถิ่น (เช่น “รับทำเว็บไซต์เชียงใหม่”) เป็นต้น
  4. ความสอดคล้อง (Consistency)
    การเพิ่มข้อมูลที่ถูกต้องให้แน่ใจว่า ชื่อธุรกิจ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ (NAP) ของคุณมีความสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของคุณ โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ไดเรกทอรี
  5. การลงทะเบียนในไดเรกทอรี (Local Listings)
    ลงทะเบียนธุรกิจของคุณในไดเรกทอรีออนไลน์ต่างๆ เช่น Yelp และเว็บไซต์ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บล็อกที่รีวิวร้านอาหารในพื้นที่ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาท้องถิ่น

เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำ Local SEO ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้าง Google Business Profile การขอรีวิวจากลูกค้า การใช้คำค้นหาท้องถิ่น การรักษาความสอดคล้องของข้อมูลธุรกิจ การลงทะเบียนในไดเรกทอรีท้องถิ่น ก็จะช่วยดึงผู้ค้นหาที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้

ประเภทเฉพาะของการทำ SEO (SEO Specialties)

การทำ SEO ยังสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท หรือกลยุทธ์ย่อย ที่มีความเฉพาะเจาะจงกับประเภทของเว็บไซต์ธุรกิจต่างๆ ดังนี้

  • Ecommerce SEO
    SEO สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (Ecommerce SEO) มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ โดยการทำ SEO ในประเภทนี้จะเน้นที่การปรับปรุงหน้าผลิตภัณฑ์  การใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า  การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย 
  • Enterprise SEO
    SEO สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise SEO) เน้นการจัดการ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน เช่น เว็บไซต์ของบริษัทที่มีหลายหน้าหรือหลายส่วนที่ต้องการการจัดการ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรักษาความสอดคล้องของข้อมูล  การจัดการคำค้นหาที่มีปริมาณสูง การปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสม
  • International SEO
    SEO สำหรับตลาดต่างประเทศ (International SEO) มุ่งเน้นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานจากประเทศต่างๆ โดยการปรับแต่งเนื้อหาให้รองรับหลายภาษา การใช้คำค้นหาที่มีความนิยมในแต่ละประเทศ เทคนิคในการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการแสดงผลลัพธ์การค้นหาตามตำแหน่ง ภาษา
  • Local SEO
    SEO สำหรับการค้นหาท้องถิ่น (Local SEO) เน้นการทำให้ธุรกิจที่ให้บริการในพื้นที่เฉพาะปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาท้องถิ่น การสร้างโปรไฟล์ธุรกิจใน Google  การขอรีวิวจากลูกค้า  และการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เป็นกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถพบเจอกับลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ ได้
  • News SEO
    SEO สำหรับเว็บไซต์ข่าว (News SEO) มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาข่าวหรือบทความในเว็บไซต์ข่าว โดยการใช้เทคนิค SEO ที่เหมาะสมเพื่อให้ข่าวสารหรือข้อมูลทันสมัยปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาของ Google News หรือในเครื่องมือค้นหาทั่วไป

ประเภทเฉพาะของการทำ SEO แต่ละประเภทนั้นมีการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของธุรกิจหรือเว็บไซต์นั้น ๆ โดยการเลือกประเภท SEO ที่ถูกต้องจะช่วยให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทรนด์ SEO ที่น่าติดตาม

การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งาน ซึ่งในปัจจุบันมีเทรนด์สำคัญที่คุณควรติดตามเพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้ โดนมีเทรนด์ที่น่าติดตามดังนี้

  1. Video SEO

การทำ SEO สำหรับวิดีโอ (Video SEO) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากการค้นหาผ่านวิดีโอมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ YouTube หรือแพลตฟอร์มวิดีโออื่นๆ วิดีโอสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ชมมากขึ้นนั่นเอง

  1. SGE (Search Generative Experience หรือ AI Overview)

Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ AI ในการสร้างคำตอบที่ครบถ้วนสำหรับคำค้นหาต่างๆ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เรียกว่า SGE (Search Generative Experience) การติดตาม Google Search Essentials Guidelines จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในคำตอบที่สร้างจาก AI นี้ และเพิ่มโอกาสในการได้รับการมองเห็นในผลลัพธ์การค้นหาที่ปรับใช้ AI

  1. AI SEO

การใช้เครื่องมือ AI ใน SEO กำลังเป็นที่นิยมเนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเวลาในการทำงานหลายๆ อย่าง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสม และการปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ AI ช่วยให้สามารถทำ SEO ได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

  1. Information Gain

Information Gain คือวิธีการที่ Google ใช้ในการกำหนดคะแนนให้กับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อประเมินความเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อหานั้นๆ เนื้อหาที่มีความเป็นต้นฉบับ เช่น การนำเสนอมุมมองใหม่ๆ หรือการวิจัยที่ไม่เหมือนใคร จะได้รับคะแนนสูง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลลัพธ์การค้นหา

การติดตามเทรนด์ SEO ใหม่ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะการทำ Video SEO การใช้ AI ในการช่วย SEO และการเข้าใจการประเมินคุณค่าของเนื้อหาผ่าน Information Gain จะช่วยให้คุณอยู่ในแถวหน้าของผลลัพธ์การค้นหาได้อย่างยั่งยืนแน่นอน


พร้อมทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นบนหน้าแรกของ Google แล้วหรือยัง?
เพราะการมีเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งด้วยกลยุทธ์ SEO อย่างมืออาชีพ คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

Rise Group Asia พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์ SEO ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและผลลัพธ์จริง เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

📞 ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อเริ่มต้นวันนี้
🔗 รับคำปรึกษาด้าน SEO ฟรี

ที่ปรึกษาธุรกิจ RGA Facebook: risegroupasia