เคยสงสัยไหมว่าทำไมเว็บไซต์บางเว็บถึงติดอันดับต้นๆ บน Google ในขณะที่เว็บของเราหายไปไหนก็ไม่รู้? หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นก็คือ Backlink ครับ! หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำงานยังไง และสำคัญขนาดไหน ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกเรื่อง Backlink ตั้งแต่พื้นฐานแบบ Step-by-Step ให้คุณเข้าใจง่าย ทำตามได้จริง พร้อมทั้งเรียนรู้วิธีสร้าง Backlink อย่างถูกต้อง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับบน Google ได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
Backlink คืออะไร? (What is a Backlink?)
Backlink คืออะไร? ถ้าแปลตรงตัวก็คือ “ลิงก์ย้อนกลับ” แต่ในโลกของ SEO (Search Engine Optimization) หรือการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google นั้น Backlink มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นเยอะเลย
Backlink ก็คือ ลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา เหมือนเวลาที่เราไปออกรายการทีวี แล้วพิธีกรพูดถึงเว็บไซต์ของเราพร้อมกับบอกให้คนดูเข้าไปดู นั่นแหละครับคือ Backlink
เราลองมาเปรียบเทียบ Backlink เหมือนกับการโหวต ลองนึกภาพว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นผู้สมัครในการเลือกตั้ง Backlink ก็คือคะแนนเสียงที่เว็บไซต์อื่นๆ มอบให้ ถ้าเว็บไซต์ของคุณมี Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงเยอะๆ ก็เหมือนกับว่าคุณได้รับคะแนนเสียงจากคนดังมากมาย ทำให้คุณดูน่าเชื่อถือและมีโอกาสชนะการเลือกตั้งในที่นี้ก็คือ (ติดอันดับบน Google) มากขึ้น

ทำไม Backlink ถึงสำคัญต่อ SEO?
ทำไม Google ถึงให้ความสำคัญกับ Backlink นัก? ก็เพราะว่า Backlink เป็นเหมือน สัญญาณบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ โดยช่วยให้ Googlebot (โปรแกรมที่ Google ใช้ในการเก็บข้อมูลเว็บไซต์) ค้นพบเว็บไซต์และเนื้อหาใหม่ๆ บนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น เวลาที่ Googlebot เข้าไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์อื่น แล้วเจอลืงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ Googlebot ก็จะตามลิงก์นั้นมาสำรวจเว็บไซต์ของคุณต่อไป
Google มองว่า Backlink เป็นเหมือน “คะแนนเสียง” ที่บ่งบอกถึงคุณภาพของเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือและมีอำนาจในหัวข้อนั้นๆ มากขึ้นเท่านั้น เว็บไซต์ที่มี Backlink คุณภาพดีจำนวนมาก มักจะได้รับการจัดอันดับที่สูงกว่าบน Google เพราะ Google มองว่าเว็บไซต์นั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานนั่นเอง
อธิบาย PageRank แบบย่อๆ – ในอดีต Google เคยใช้ระบบที่เรียกว่า “PageRank” ในการวัดคุณภาพของเว็บไซต์ โดยพิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของ Backlink ถึงแม้ว่า Google จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของ PageRank ในปัจจุบัน แต่ Backlink ก็ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์อยู่
Backlink มีกี่ประเภท?
Backlink ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและบทบาทที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- Dofollow Backlink
Dofollow คือ Backlink ที่ส่ง “คะแนน” หรือ “Link Juice” จากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือ link ประเภทนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจให้กับเว็บไซต์ที่เราได้รับ Backlink มา ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพและควรได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
ตัวอย่าง – บทความของคุณได้รับการอ้างอิงในเว็บไซต์ข่าวสารชื่อดัง แล้วเว็บไซต์ข่าวสารนั้นใส่ลิงก์ Dofollow มายังเว็บไซต์ของคุณ
- Nofollow Backlink
Nofollow คือ Backlink ที่ไม่ได้ส่ง “คะแนน” หรือ “Link Juice” ไปยังเว็บไซต์อื่น Google จะไม่นำ Backlink ประเภทนี้มาพิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์โดยตรง แต่ Nofollow Backlink ก็ยังมีประโยชน์ในแง่ของการเพิ่ม Traffic และ Brand Awareness อยู่จากการเข้ามาของผู้ใช้เอง
ตัวอย่าง – คุณไปคอมเมนต์ใน Blog แล้วใส่ลิงก์เว็บไซต์ของคุณไว้ในช่อง Comment เว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะใส่ Tag Nofollow ให้กับลิงก์ใน Comment
Dofollow Backlink จะมีผลต่อ SEO โดยตรงมากกว่า แต่ Nofollow Backlink ก็ยังมีความสำคัญในการสร้างความหลากหลายให้กับ Profile ของ Backlink และดึงดูด Traffic มายังเว็บไซต์ของคุณ
- Editorial Links (Organic Links)
Editorial Links คือ Backlink ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากการที่เว็บไซต์อื่นๆ ชื่นชอบและเห็นว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่า จึงใส่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณโดยที่คุณไม่ได้ร้องขอ เช่นคุณเขียนบทความที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและเป็นประโยชน์มากๆ เกี่ยวกับเรื่อง SEO แล้วนักการตลาดคนอื่นๆ เห็นว่าบทความของคุณมีประโยชน์ต่อผู้อ่านของพวกเขา พวกเขาจึงใส่ลิงก์บทความของคุณไว้ใน Blog Post ของพวกเขาเป็นต้น
Editorial Links เป็น Backlink ที่มีคุณภาพสูงที่สุด เพราะ Google มองว่ามันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือ โดยวิธีที่ดีที่สุดในการสร้าง Editorial Links คือการสร้างคอนเทนต์ที่ “ดีจนใครๆ ก็อยากลิงก์กลับ” นั่นเอง
- Manual Links
Manual Links คือ Backlink ที่คุณสร้างขึ้นมาเอง ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเขียน Guest Post, การติดต่อขอ Backlink จากเว็บไซต์อื่นๆ หรือการสร้าง Profile บน Social Media
ตัวอย่างเช่น
- Guest Post คุณเข้าไปเขียนบทความให้กับ Blog อื่นในวงธุรกิจของคุณ และใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณในบทความนั้น
- Outreach คือการที่คุณติดต่อเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ และขอให้พวกเขาใส่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
- Social Media Profile คุณสร้าง Profile บน Social Media และใส่ลิงก์เว็บไซต์ของคุณไว้ใน Profile เป็นต้น
สิ่งที่ควรระวังในการสร้าง Manual Links คือต้องทำอย่างระมัดระวัง และเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ หากคุณสร้าง Manual Links มากเกินไป หรือสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ Google อาจมองว่าเป็นการทำ SEO ที่ไม่ถูกต้อง (Black Hat SEO) และลงโทษเว็บไซต์ของคุณได้
- Non-Editorial Links
Non-Editorial คือ Backlink ที่มักจะเกิดจากการกระทำที่ไม่ใช่การสร้างเนื้อหาที่ดีโดยตรง เช่น การใส่ลิงก์ใน Comment, การสร้าง Profile บน Forum, หรือการ Submit เว็บไซต์ไปยัง Directory
ตัวอย่างเช่น
- Comment ใน Blog หรือ Forum
- Profile บน Forum หรือ Social Media (เฉพาะบางแพลตฟอร์ม)
- Web Directory Listing (ไดเรกทอรีเว็บไซต์)
ทำไมถึงมีค่าน้อย? Backlink ประเภทนี้มักจะมีค่าน้อยกว่า Backlink ประเภทอื่นๆ เพราะ Google มองว่ามันไม่ได้เป็น “คะแนนเสียง” ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้าง Backlink เพื่อหวังผลทางการตลาดมากกว่า ทั้งการสร้าง Non-Editorial Links มากเกินไป อาจทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังทำ Spam และลงโทษเว็บไซต์ของคุณได้ ดังนั้นควรเน้นการสร้าง Backlink ประเภทอื่นๆ ที่มีคุณภาพสูงกว่า
Backlink มีหลายประเภท แต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและบทบาทที่แตกต่างกันไป การสร้าง Backlink ที่ดี ควรเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ และสร้าง Backlink จากหลากหลายแหล่ง เพื่อให้ Profile ของ Backlink ดูเป็นธรรมชาติ และหลีกเลี่ยงการทำ SEO ที่ไม่ถูกต้อง

องค์ประกอบของ Backlink ที่ดี
เมื่อพูดถึง Backlink ไม่ใช่แค่จำนวนเท่านั้นที่สำคัญ แต่ “คุณภาพ” ของ Backlink ต่างหากที่มีผลต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณอย่างแท้จริง แล้วอะไรคือองค์ประกอบที่บ่งบอกว่า Backlink นั้นมีคุณภาพ? มาดูกัน
Authority ของเว็บไซต์ที่ให้ Backlink
Authority หมายถึง “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความเชี่ยวชาญ” ของเว็บไซต์นั้นๆ เว็บไซต์ที่มี Authority สูง มักจะเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก และมีเนื้อหาที่มีคุณภาพ ดังนั้น Backlink ที่มาจากเว็บไซต์เหล่านี้จะมีค่ามากกว่า Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก หรือมีเนื้อหาที่ไม่น่าเชื่อถือ
- Domain Authority (DA) และ Domain Rating (DR) – เป็น Metric ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อวัด Authority ของเว็บไซต์ โดยยิ่งค่า DA/DR สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมี Authority มากเท่านั้น
- ตัวอย่าง – ลองนึกภาพ Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง Sanook หรือ Thairath กับ Backlink ที่มาจาก Blog เล็กๆ ที่ไม่มีคนรู้จัก แน่นอนว่า Backlink จาก Sanook หรือ Thairath จะมีผลต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
วิธีการตรวจสอบ Authority
คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Moz Link Explorer หรือ Ahrefs Site Explorer เพื่อตรวจสอบค่า DA/DR ของเว็บไซต์ที่คุณต้องการสร้าง Backlink ได้
ความเกี่ยวข้อง (Relevance)
ความเกี่ยวข้อง หรือ “ความสัมพันธ์” ระหว่างเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ กับเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ให้ Backlink Google ต้องการเห็นว่าเว็บไซต์ที่ Link มาหาคุณมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ หากเว็บไซต์ที่ Link มาหาคุณไม่มีเนื้อหาหรือความเกี่ยวข้องเลย Google อาจมองว่า Backlink นั้นไม่มีคุณภาพ หรืออาจเป็น Backlink ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
- ตัวอย่าง หากคุณทำเว็บไซต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ท่องเที่ยว โรงแรม หรือสายการบิน จะมีค่ามากกว่า Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ขายเสื้อผ้า หรือเว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์
Backlink ที่มีความเกี่ยวข้องจะช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในเรื่องนั้นๆ และจะส่งผลดีต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณในระยะยาว
ตำแหน่งของ Backlink (Placement of the Backlink)
ตำแหน่งที่ Backlink ปรากฏบนหน้าเว็บก็มีผลต่อคุณภาพของ Backlink ด้วยเช่นกัน Backlink ที่อยู่ใน “เนื้อหาหลัก” ของหน้าเว็บ (เช่น ใน Paragraph หรือในส่วนของเนื้อหา) จะมีค่ามากกว่า Backlink ที่อยู่ในส่วนของ Footer, Sidebar หรือ Comment
ทำไมตำแหน่งถึงสำคัญ? Google มองว่า Backlink ที่อยู่ในเนื้อหาหลัก เป็น Backlink ที่มีความ “จงใจ” และ “ตั้งใจ” มากกว่า เพราะผู้เขียนเนื้อหาได้ตัดสินใจที่จะใส่ Backlink นั้นลงไปในเนื้อหาของตนเอง
Anchor Text
Anchor Text คือ ข้อความที่คลิกได้ของ Backlink ครับ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการให้คนคลิก Backlink ไปยังหน้า “สอนทำ SEO” Anchor Text ของคุณก็ควรจะเป็น “สอนทำ SEO” หรือ “วิธีการทำ SEO“
ความสำคัญของ Anchor Text คือช่วยให้ Google เข้าใจว่าหน้าเว็บปลายทางนั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้ Anchor Text ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา จะช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อีกด้วย
ข้อควรระวัง การใช้ Anchor Text ที่เป็น Keyword หลักมากเกินไป (Keyword Stuffing) อาจทำให้ Google มองว่าคุณกำลังพยายาม “ปั่น” อันดับเว็บไซต์ และอาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณได้ ควรใช้ Anchor Text ที่มีความหลากหลาย และเป็นธรรมชาติ
Backlink ที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ Authority, ความเกี่ยวข้อง, ตำแหน่ง และ Anchor Text การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับบน Google ได้อย่างยั่งยืน
วิธีสร้าง Backlink ที่ถูกต้องตามหลัก SEO
การสร้าง Backlink ที่ถูกต้องตามหลัก SEO ไม่ใช่แค่การหา Backlink ให้ได้มากที่สุด แต่เป็นการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ และมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้
- การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง (Creating High-Quality Content)
การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง คือ หัวใจสำคัญของการสร้าง Backlink ครับ หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่น่าสนใจ เป็นประโยชน์ และให้ข้อมูลเชิงลึก ผู้คนก็จะอยากลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณเอง โดยที่คุณไม่ต้องร้องขอ
คอนเทนต์แบบไหนที่ดึงดูด Backlink?
- บทความให้ข้อมูลเชิงลึก (In-depth articles) บทความที่เจาะลึกในรายละเอียด ให้ข้อมูลครบถ้วน และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
- บทความ List Post (List Posts) บทความที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบ List เช่น “10 วิธี…”, “5 เคล็ดลับ…” เป็นต้น
- Infographic (Infographics) การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบภาพที่สวยงามและเข้าใจง่าย
- Case Study (Case Studies) การนำเสนอผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง จากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
- Tools หรือ Resources ฟรี (Free Tools or Resources) การสร้าง Tools หรือ Resources ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน แล้วเปิดให้ใช้งานได้ฟรี
เคล็ดลับ – สร้างคอนเทนต์ให้ “ดีกว่า” คอนเทนต์อื่นๆ ที่มีอยู่แล้วในหัวข้อเดียวกัน (Skyscraper Technique)
- Broken Link Building
Broken Link Building คือ การค้นหาลิงก์ที่เสีย (Broken Link) บนเว็บไซต์อื่นๆ แล้วติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เหล่านั้น เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีลิงก์เสีย และเสนอให้ใส่ลิงก์ไปยังคอนเทนต์ของคุณ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับลิงก์ที่เสียนั้น
วิธีทำ Broken Link Building
- ค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ ใช้ Google Search หรือเครื่องมืออื่นๆ เพื่อค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- ใช้เครื่องมือตรวจสอบ Broken Link ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs Broken Link Checker เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีลิงก์เสียหรือไม่
- ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีลิงก์เสีย และเสนอให้ใส่ลิงก์ไปยังคอนเทนต์ของคุณ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับลิงก์ที่เสียนั้น
ข้อดี – เป็นวิธีที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย เจ้าของเว็บไซต์ได้แก้ไขลิงก์เสีย ส่วนคุณก็ได้ Backlink
- Guest Blogging / Guest Post
Guest Blogging หรือ Guest Post คือ การเขียนบทความให้กับเว็บไซต์อื่นๆ ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเว็บของคุณ แล้วใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณในบทความนั้น
วิธีหาเว็บไซต์ที่รับ Guest Post
- ค้นหาคำเหล่านี้ “เขียนบทความ,” “submit article,” “Guest Post Guidelines” + [คำที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ]
- ค้นหา Blog ที่คู่แข่งของคุณเขียน Guest Post ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Semrush เพื่อดูว่าคู่แข่งของคุณเขียน Guest Post ที่ไหนบ้าง
เขียนบทความที่มีคุณภาพสูง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของเว็บไซต์นั้น ทั้งทำตาม Guideline ของเว็บไซต์อย่างเคร่งครัดพร้อมสร้าง connection กับเจ้าของเว็บไซต์เพื่อการทำครั้งต่อๆ ไป
- Reverse Engineering Competitor Backlinks
Reverse Engineering Competitor Backlinks คือ การวิเคราะห์ Backlink ของคู่แข่ง เพื่อค้นหาโอกาสในการสร้าง Backlink ที่คล้ายกัน
วิธีทำ
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ Backlink – ใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs หรือ Semrush เพื่อดูว่าคู่แข่งของคุณมี Backlink มาจากเว็บไซต์ไหนบ้าง
- วิเคราะห์ Backlink – วิเคราะห์ว่า Backlink เหล่านั้นมาจากไหน (เช่น Guest Post, Directory, การอ้างอิงในบทความ)
- หาโอกาสในการสร้าง Backlink ที่คล้ายกัน – ติดต่อเว็บไซต์เหล่านั้น เพื่อขอ Backlink หรือสร้างคอนเทนต์ที่คล้ายกัน เพื่อให้พวกเขาลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
- Link Reclamation
Link Reclamation คือ การค้นหาการกล่าวถึง (Mention) แบรนด์ หรือเว็บไซต์ของคุณ บนเว็บไซต์อื่นๆ โดยที่ไม่มีลิงก์ แล้วติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เหล่านั้น เพื่อขอให้ใส่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
วิธีทำ
- ใช้ Google Alerts ตั้งค่า Google Alerts เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีคนกล่าวถึงแบรนด์ หรือเว็บไซต์ของคุณ
- ใช้เครื่องมือ Social Listening ใช้เครื่องมือ Social Listening เพื่อค้นหาการกล่าวถึงแบรนด์ หรือเว็บไซต์ของคุณ บน Social Media
- ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ เพื่อขอให้ใส่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
- HARO (Help a Reporter Out)
HARO คือ แพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อนักข่าว กับแหล่งข้อมูล (Source) ต่างๆ นักข่าวจะโพสต์คำถาม หรือคำขอข้อมูล (Query) แล้วคุณสามารถตอบคำถามเหล่านั้น เพื่อแลกกับการได้รับ Backlink ไปที่ HARO (Help a Reporter Out) แล้วลงทะเบียนในฐานะ Source ตรวจสอบ Query ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ ตอบ Query อย่างมืออาชีพ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หากนักข่าวเลือกคำตอบของคุณ คุณก็จะได้รับการอ้างอิง พร้อมกับ Backlink นั่นเอง
- Local Citations (สำหรับธุรกิจ Local)
Local Citations คือ การกล่าวถึงชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ หรือที่เรียกว่า (NAP: Name, Address, Phone Number) ของธุรกิจของคุณ บนเว็บไซต์อื่นๆ เช่น Yelp, TripAdvisor, หรือ YellowPages
ทำไมถึงสำคัญ? Local Citations ช่วยให้ Google เข้าใจว่าธุรกิจของคุณมีอยู่จริง และช่วยเพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณในการค้นหา Local Search โดยสามารถSubmit ธุรกิจของคุณไปยัง Directory เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
วิธีหลีกเลี่ยง Backlink ที่เป็นอันตราย
การสร้าง Backlink ที่ดี มีความสำคัญต่อการทำ SEO ก็จริง แต่การหลีกเลี่ยง Backlink ที่เป็นอันตราย ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ Backlink ที่ไม่ดี สามารถทำให้อันดับเว็บไซต์ของคุณร่วงลงได้อย่างรวดเร็ว มาดูกันว่า Backlink แบบไหนบ้างที่เราควรหลีกเลี่ยง
- Black Hat SEO
Black Hat SEO คือ เทคนิคการทำ SEO ที่ผิดกฎ และพยายามที่จะหลอก Google เพื่อให้อันดับเว็บไซต์สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ มักจะส่งผลเสียต่อผู้ใช้งาน และ Google ไม่สนับสนุนให้ใช้เทคนิคเหล่านี้ หาก Google ตรวจพบว่าเว็บไซต์ของคุณใช้ Black Hat SEO เว็บไซต์ของคุณอาจถูกลงโทษ โดยการลดอันดับ หรือถูกถอดออกจากผลการค้นหา
ตัวอย่างของ Backlink ที่เป็นอันตราย
- การซื้อ Backlink จำนวณมาก
การซื้อ Backlink คือ การจ่ายเงิน เพื่อให้เว็บไซต์อื่นๆ ใส่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นการทำผิดกฎของ Google อย่างชัดเจน เพราะ Google มองว่า Backlink ควรเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากการที่เว็บไซต์อื่นๆ ชื่นชอบเนื้อหาของคุณ ไม่ใช่จากการจ่ายเงิน
Google สามารถตรวจจับการซื้อ Backlink ได้ หาก Google ตรวจพบว่าคุณซื้อ Backlink เว็บไซต์ของคุณอาจถูกลงโทษอย่างหนัก
- การเข้าร่วม Link Schemes
Link Schemes คือ การตกลงกับเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยน Backlink กัน หรือสร้างเครือข่ายเว็บไซต์ ที่ลิงก์ถึงกันไปมา ซึ่งเป็นการทำ SEO ที่ไม่เป็นธรรมชาติ และ Google ไม่สนับสนุน เช่นคุณสร้างเว็บไซต์ 10 เว็บไซต์ แล้วให้เว็บไซต์ทั้ง 10 เว็บไซต์นี้ ลิงก์ถึงกันไปมา
ทำไมถึงอันตราย Google สามารถตรวจจับ Link Schemes ได้ หาก Google ตรวจพบว่าคุณเข้าร่วม Link Schemes เว็บไซต์ของคุณอาจถูกลงโทษ
- การใช้ Automated Link-Building Software
Automated Link-Building Software คือ โปรแกรมที่ช่วยสร้าง Backlink ให้อัตโนมัติ เช่น การสร้าง Comment ใน Blog จำนวนมาก หรือการ Submit เว็บไซต์ไปยัง Directory จำนวนมาก ซึ่งเป็นการทำ SEO ที่ไม่มีคุณภาพ และ Google ไม่สนับสนุน
Backlink ที่สร้างจาก Automated Link-Building Software มักจะเป็น Backlink ที่ไม่มีคุณภาพ และอาจมาจากเว็บไซต์ที่เป็น Spam ซึ่งจะส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย
- Backlink จากเว็บไซต์ที่เป็น Spam หรือ Low-Quality
Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ มีเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือมีจำนวนโฆษณามากเกินไป ถือเป็น Backlink ที่มีคุณภาพต่ำ และอาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ ให้สังเกตว่าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์หรือไม่ มีจำนวนโฆษณามากเกินไปหรือไม่ และมี Traffic มากน้อยแค่ไหน
- การใช้ Anchor Text ที่เป็น Keyword หลักมากเกินไป
การใช้ Anchor Text ที่เป็น Keyword หลักมากเกินไป (Keyword Stuffing) อาจทำให้ Google มองว่าคุณกำลังพยายาม “ปั่น” อันดับเว็บไซต์ และอาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณได้ ควรใช้ Anchor Text ที่มีความหลากหลาย และเป็นธรรมชาติ
วิธีการตรวจสอบและกำจัด Backlink ที่เป็นอันตราย
หากคุณสงสัยว่าเว็บไซต์ของคุณมี Backlink ที่เป็นอันตราย คุณสามารถตรวจสอบได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Search Console หรือ Ahrefs จากนั้นให้ทำการ “Disavow” Backlink เหล่านั้น เพื่อแจ้งให้ Google ทราบว่าคุณไม่ต้องการให้ Backlink เหล่านั้นมีผลต่อเว็บไซต์ของคุณ
ขั้นตอนการ Disavow Backlink
- ตรวจสอบ Backlink ใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อตรวจสอบ Backlink ของเว็บไซต์ของคุณ แล้วคัดกรอง Backlink ที่เป็นอันตราย
- สร้างไฟล์ Disavow สร้างไฟล์ Text ที่มีรายชื่อของ Domain หรือ URL ที่คุณต้องการ Disavow
- อัปโหลดไฟล์ Disavow ไปยัง Google Search Console โดยเข้าสู่ Google Search Console แล้วอัปโหลดไฟล์ Disavow ไปยัง Google
การหลีกเลี่ยง Backlink ที่เป็นอันตราย เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO ในระยะยาว ควรเน้นการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ และมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการใช้ Black Hat SEO ที่อาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ
H2
เครื่องมือสำหรับวิเคราะห์ Backlink (Tools for Backlink Analysis)
การวิเคราะห์ Backlink เป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Backlink แบบไหนที่ส่งผลดีต่อเว็บไซต์ของคุณ และ Backlink แบบไหนที่อาจเป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ของคุณ โชคดีที่มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ Backlink ได้อย่างง่ายดาย
- Ahrefs หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ Backlink ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด Ahrefs มีฟีเจอร์มากมาย เช่น การตรวจสอบ Backlink, การวิเคราะห์ Backlink ของคู่แข่ง, การค้นหา Broken Link และอื่นๆ อีกมากมาย
Semrush Semrush เป็นเครื่องมือ SEO แบบ All-in-One ที่มีฟีเจอร์วิเคราะห์ Backlink ที่ทรงพลัง นอกจากนี้ Semrush ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น การวิเคราะห์ Keyword, การตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ และการวิเคราะห์ Traffic - Moz Moz เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือ SEO ที่มีชื่อเสียง Moz มีฟีเจอร์ Link Explorer ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบ Backlink ของเว็บไซต์ของคุณ และวิเคราะห์ Authority ของเว็บไซต์ที่ให้ Backlink
- Google Search Console Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรี ที่ Google ให้บริการ ซึ่งช่วยให้คุณตรวจสอบ Backlink ของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ของคุณ
สรุป
Backlink เป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO ที่คุณไม่ควรมองข้าม การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยง Backlink ที่เป็นอันตราย จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน และได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นบน Google หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการวางแผน และดำเนินกลยุทธ์ Backlink ที่มีประสิทธิภาพ ลองพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO เพื่อให้คุณได้รับคำแนะนำ และความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ
พร้อมยกระดับเว็บไซต์ของคุณด้วยกลยุทธ์ Backlink ที่มีประสิทธิภาพแล้วหรือยัง? ติดต่อ Rise Group Asia วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี และเริ่มต้นสร้าง Backlink ที่จะพาเว็บไซต์ของคุณไปสู่อันดับ 1 บน Google! เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ SEO ของเราได้ที่ เว็บไซต์ Rise Group Asia
Rise Group Asia พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์ SEO ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและผลลัพธ์จริง เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
📞 ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อเริ่มต้นวันนี้
🔗 รับคำปรึกษาด้าน SEO ฟรี
บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง – SEO คืออะไร? ทำไมสำคัญต่อเว็บไซต์และการติดอันดับบนการค้นหา