เหนื่อยไหม? กับการที่ยิงแอด Facebook เท่าไหร่ก็ไม่ปัง ธุรกิจของคุณลงทุนกับ Facebook Ads ไปเยอะ แต่ยอดขายกลับไม่ได้เข้ามาเลยหลายแคมเปญ ทุกวันนี้มีธุรกิจมากมายที่ใช้ Facebook Ads ในการทำการตลาด แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ เพราะจริงๆ แล้ว Facebook Ads ไม่ใช่แค่การ boost post หรือใส่เงินเข้าไปเฉยๆ แต่ต้องอาศัยกลยุทธ์และความเข้าใจที่ถูกต้องในการทำด้วย
บทความนี้เราจะมาอธิบายการทำ Facebook Ads ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคแบบมืออาขีพว่า Facebook Ads คืออะไร ทำงานอย่างไร มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ Facebook Ads ของคุณสามารถสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เพิ่มยอดขายให้เติบโต และสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจของคุณได้จริง

Facebook Ads คืออะไร?
Facebook Ads คือระบบการโฆษณาของ Facebook ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ สร้างและแสดงโฆษณาของตนเองบนแพลตฟอร์ม Facebook รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่อยู่ในเครือได้ เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าเหมือนกับการเช่าพื้นที่ในหนังสือพิมพ์ หรือเช่าป้ายโฆษณาข้างถนนแต่ Facebook Ads ทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจงกว่า และวัดผลได้แม่นยำกว่า
ยกตัวอย่างเช่น “ถ้าคุณขายเสื้อผ้าแฟชั่น Facebook Ads จะช่วยให้โฆษณาของคุณไปปรากฏต่อหน้าคนที่สนใจเรื่องแฟชั่น ชอบติดตามเพจเสื้อผ้า หรือเคยซื้อเสื้อผ้าออนไลน์”
ทำไมธุรกิจต้องใช้ Facebook Ads
- Reach (การเข้าถึง) Facebook มีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานในประเทศไทย หรือทั่วโลก โดยจากสภิติมีผู้ใช้งาน Facebook ในประเทศไทย 49.01 ล้านคน และทั่วโลก 3,030 ล้านบัญชี คิดเป็น 37.6% ของประชากรโลก
- Targeting (การกำหนดเป้าหมาย) Facebook มีข้อมูลของผู้ใช้งานมากมาย ทำให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดและแม่นยำ เช่น เพศ อายุ ที่อยู่ ความสนใจ พฤติกรรม ยกตัวอย่าง “คุณสามารถเลือกที่จะแสดงโฆษณาเฉพาะผู้หญิงอายุ 25-35 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และสนใจการท่องเที่ยวได้” ทำให้ง่ายต่อการกำหนดเป้าหมาย
- แพลตฟอร์ม Facebook และ Ecosystem อื่นๆ
Facebook Ads ไม่ได้แสดงผลแค่บน Facebook เท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงผลบนแพลตฟอร์มอื่นๆ ในเครือได้ด้วย เช่น
3.1 Instagram โฆษณาในรูปแบบภาพสวย เหมาะกับสินค้าแฟชั่น อาหาร เครื่องสำอาง
3.2 Messenger โฆษณาในรูปแบบข้อความ เหมาะกับการสร้าง Engagement และ Lead Generation
3.3 Audience Network โฆษณาที่แสดงบนแอปฯ และเว็บไซต์ที่เป็น Partner ของ Facebook ช่วยขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
จะเห็นว่าในยุคที่การแข่งขันสูง การเข้าถึงผู้บริโภคที่ใช่ และสื่อสารข้อความที่ตรงใจ คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ Facebook Ads จึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้
ความได้เปรียบจากการทำ Facebook Ads
การเข้าถึงลูกค้าและการสร้างการเติบโตของแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป หนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ Facebook Ads และเพราะอะไรถึงสำคัญต่อธุรกิจ? มาดูกัน

1. ผู้ใช้งานจำนวนมาก (Massive User Base)
Facebook คือแพลตฟอร์ม Social Media ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ทำให้ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าจำนวนมหาศาลได้อย่างง่ายดาย เพราะ Facebook มีผู้ใช้งานทั่วโลกที่ Active รายเดือนกว่า 3.06 พันล้านคน (ข้อมูลจาก Exploding Topics) ในประเทศไทยมีผู้ใช้งาน Facebook กว่า 55 ล้านคน
จากตัวเลขเหล่านี้จะเห็นได้ว่า Facebook เปรียบเสมือนตลาดขนาดใหญ่ ที่มีกลุ่มผู้คนเดินมามากมาย หากธุรกิจของคุณสามารถวางร้านให้ถูกที่ ถูกเวลา ก็มีโอกาสที่จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าได้ไม่ยาก ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะใหญ่หรือเล็ก จะขายสินค้าหรือบริการอะไร การมี Facebook Ads ก็เหมือนกับการเปิดประตูสู่โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ (Precise Targeting)
Facebook Ads มีระบบ Targeting ที่ละเอียดและแม่นยำ ช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างเฉพาะเจาะจง ทำให้โฆษณาของคุณถูกแสดงต่อคนที่ มีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ
Targeting Options ที่น่าสนใจ
- Demographics (ข้อมูลประชากร) เพศ อายุ ที่อยู่ การศึกษา ภาษา ความสัมพันธ์ ฯลฯ
- Interests (ความสนใจ) สิ่งที่ผู้ใช้งานกดไลค์ กดติดตาม หรือแสดงความสนใจบน Facebook เช่น แฟชั่น ท่องเที่ยว อาหาร กีฬา
- Behaviors (พฤติกรรม) พฤติกรรมการใช้งาน Facebook เช่น การซื้อสินค้าออนไลน์ การใช้แอปพลิเคชัน การเดินทาง
- Custom Audiences (กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง)
- Website Visitors – คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
- Customer List – รายชื่อลูกค้าเก่าของคุณ
- Lookalike Audiences – คนที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณ
ตัวอย่าง – หากคุณขายรองเท้าวิ่ง คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็น “ผู้ชายอายุ 25-45 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และสนใจการวิ่งมาราธอน” ทำให้โฆษณาของคุณไปแสดงต่อคนที่ใช่ และมีโอกาสที่จะซื้อรองเท้าวิ่งของคุณสูง ข้อดีคือยังช่วยลด Waste ในการโฆษณาและเพิ่มโอกาสในการสร้าง Conversion (เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน การติดต่อ) เป็นต้น
3. ความหลากหลายของรูปแบบโฆษณา (Variety of Ad Formats)
Facebook Ads มีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลายให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของสินค้า/บริการ และเป้าหมายทางการตลาด และยังสามารถนำเทรนด์ของสื่อมาใช้เพื่อสร้างความดึงดูดได้อีกด้วย โดยรูปแบบของโฆษณาของ Facebook Ads มีดังต่อไปนี้

3.1 Image Ads (โฆษณาภาพ)
รูปภาพที่สวยงามและดึงดูดสายตา เป็นรูปแบบที่ง่ายและรวดเร็วในการสร้าง เหมาะสำหรับสร้าง Brand Awareness, โปรโมทสินค้าใหม่, บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น โฆษณาร้านกาแฟที่ใช้ภาพเมล็ดกาแฟคั่วใหม่ๆ พร้อมข้อความเชิญชวนให้มาลองชิม
3.2 Video Ads (โฆษณาวิดีโอ)
วิดีโอที่น่าสนใจ สร้าง Engagement ได้ดี เหมาะกับการเล่าเรื่องและแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของสินค้าเหมาะสำหรับ สร้าง Brand Awareness, สาธิตการใช้งานสินค้า, เล่าเรื่องราวของแบรนด์ ตัวอย่างเช่น โฆษณาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการใช้งานและผลลัพธ์ที่ได้
3.3 Carousel Ads (โฆษณาแบบสไลด์)
แสดงสินค้าได้หลายรายการในโฆษณาเดียว เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ เหมาะสำหรับ โปรโมทสินค้าหลายรายการ, เล่าเรื่องราวแบบต่อเนื่อง, แสดงให้เห็นถึง Collection สินค้า ตัวอย่างเช่น โฆษณาร้านเสื้อผ้าที่แสดงให้เห็นถึงเสื้อ กางเกง รองเท้า และเครื่องประดับที่เข้าชุดกันได้
3.4 Collection Ads (โฆษณาคอลเลกชัน)
แสดงสินค้าในรูปแบบที่สวยงามและน่าดึงดูดใจ เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าประทับใจ เหมาะสำหรับ โปรโมทสินค้าหลายรายการในรูปแบบที่สวยงาม, สร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าดึงดูดใจ ตัวอย่างเช่น โฆษณาร้านเฟอร์นิเจอร์ที่แสดงให้เห็นถึงการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในห้องต่างๆ
3.5 Lead Ads (โฆษณาเก็บข้อมูล)
ช่วยให้ธุรกิจเก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะสำหรับการสร้าง Lead Generation เหมาะสำหรับ เก็บรายชื่อผู้สนใจ, เชิญชวนให้ลงทะเบียน, สอบถามข้อมูลลูกค้า ตัวอย่างเช่น โฆษณาโรงเรียนสอนภาษาที่เชิญชวนให้ลงทะเบียนเรียนฟรี โดยให้กรอกชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล
4. วัดผลได้จริง (Measurable Results)
Facebook Ads มีระบบ Tracking ที่ละเอียด ช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดผลลัพธ์ของการโฆษณาได้อย่างแม่นยำ และนำข้อมูลไปปรับปรุง Campaign ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Metrics ที่สำคัญ
- Reach & Impressions – จำนวนคนที่เห็นโฆษณาของคุณ
- Click-Through Rate (CTR) – อัตราส่วนของผู้ที่คลิกโฆษณาของคุณต่อจำนวนคนที่เห็นโฆษณา
- Conversion Rate – อัตราส่วนของผู้ที่ทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ (เช่น ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน) ต่อจำนวนคนที่คลิกโฆษณา
- Cost Per Click (CPC) – ต้นทุนที่คุณจ่ายต่อการคลิกโฆษณาหนึ่งครั้ง
- Cost Per Conversion (CPA) – ต้นทุนที่คุณจ่ายต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง
- Return on Ad Spend (ROAS) – ผลตอบแทนที่คุณได้รับจากการลงทุนโฆษณา
ช่วยให้คุณรู้ว่าโฆษณาไหนได้ผล โฆษณาไหนไม่ได้ผล และนำข้อมูลไปปรับปรุง Campaign ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลด Waste จากการจ่ายเงินและเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจของคุณ
เริ่มยิง Ads Facebook ยังไงให้ได้ผล
การทำ Facebook Ads ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่การใส่เงินลงไปแล้วรอผลลัพธ์อย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการกำหนดกลยุทธ์ และมีการวางแผนอย่างรอบคอบ หัวข้อนี้จะมาพูดถึงเคล็ดลับและขั้นตอนสำคัญในการสร้าง Facebook Ads ที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ไม่ยาก
1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
ก่อนเริ่มต้นทำ Facebook Ads สิ่งแรกที่ต้องทำคือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการอะไรจากการโฆษณาที่ทำไป การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์ เลือกรูปแบบโฆษณา และวัดผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยโฆษณาจะมีเป้าหมายดังนี้
1.1 Brand Awareness (สร้างการรับรู้)
เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนรู้จักแบรนด์ของคุณมากขึ้น สร้างการรับรู้ในวงกว้าง และทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ โดยการวัดผลที่ใช้คือ Reach, Impressions, Ad Recall Lift (การสำรวจว่าผู้คนจำโฆษณาของคุณได้มากน้อยแค่ไหน) ตัวอย่างเป้าหมาย – แบรนด์ใหม่ที่ต้องการเปิดตัวสินค้า หรือแบรนด์ที่ต้องการขยายฐานลูกค้า
1.2 Lead Generation (เก็บรายชื่อผู้สนใจ)
เป้าหมายคือการเก็บข้อมูลของผู้ที่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณ เพื่อนำไปต่อยอดทางการตลาดต่อๆ ไป การวัดผลที่ใช้คือ จำนวน Lead ที่ได้, Cost per Lead ตัวอย่างเป้าหมาย – ธุรกิจประกันภัยที่ต้องการหาลูกค้าใหม่, โรงเรียนสอนภาษาที่ต้องการเปิดคอร์สใหม่ เป็นต้น
1.3 Website Traffic (เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์)
เป้าหมายคือการดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ การวัดผลที่ใช้คือ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, Bounce Rate, Time on Site ตัวอย่างเป้าหมาย – ร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการเพิ่มยอดขาย, บล็อกที่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้อ่าน เป็นต้น
1.4 Sales (เพิ่มยอดขาย)
เป้าหมายคือการกระตุ้นให้ผู้คนซื้อสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง การวัดผลที่ใช้คือ จำนวนยอดขาย, Revenue, Return on Ad Spend (ROAS) ตัวอย่างเป้าหมาย – ร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการโปรโมทสินค้าลดราคา, ธุรกิจบริการที่ต้องการเพิ่มจำนวนลูกค้า เป็นต้น
2. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
การรู้ว่าใครคือลูกค้าของคุณ เป็นส่วนสำคัญมากส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์โฆษณาที่จูงใจ สื่อสารข้อความที่ตรงจุด และทำให้เลือกช่องทางการโฆษณาที่เหมาะสมนั่นเอง ทำได้โดยใช้หลักการที่นำไปใช้งานดังนี้
2.1 สร้าง Persona
การสร้าง Persona คือการสร้างตัวละครจำลองของลูกค้าในอุดมคติของคุณ โดยอิงจากข้อมูลจริงและสมมติฐานที่น่าจะเป็นไปได้ในการเข้าถึงสินค้าและบริการ โดยข้อมูลที่ควรมีใน Persona คือ เพศ อายุ ที่อยู่ อาชีพ ความสนใจ พฤติกรรม ความต้องการ ปัญหาที่ต้องกรแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น – “เพศหญิง อายุ 28 ปี ทำงานเป็น Marketing Manager ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ สนใจเรื่องแฟชั่น ชอบช้อปปิ้งออนไลน์ และติดตาม Influencer ด้านความงาม”
2.2 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Facebook Audience Insights)
Facebook Audience Insights เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ ข้อมูลที่ได้จาก Audience Insights นั้นจะประกอบไปด้วย Demographics, Interests, Behaviors, Pages Liked เป็นต้น โดยการนำไปใช้คือช่วยให้คุณเข้าใจความสนใจและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างโฆษณาที่ตรงใจ และเลือก Targeting Options ที่เหมาะสมมากที่สุดนั่นเอง
3. สร้างสรรค์คอนเทนต์โฆษณาที่น่าสนใจ
คอนเทนต์คือหัวใจหลักของการทำ Facebook Ads เพราะถ้าหากคอนเทนต์ไม่น่าสนใจ ไม่ดึงดูด ก็ยากที่จะทำให้ผู้คนหยุดอ่าน และคลิกเข้ามาดูรายละเอียดได้ จึงจำเป็นต้องมีการวางองค์ปรกอบของคอนเท้นให้มีความดึงดูดสายตารวมถึงคำที่อ่านแล้วดึงความสนใจได้ทันที ดังเช่น
3.1 Eye-catching Visuals (รูปภาพและวิดีโอที่ดึงดูดสายตา)
รูปภาพและวิดีโอเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนเห็น ดังนั้นควรเลือกใช้ภาพที่มีคุณภาพสูง สวยงาม และเกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการของคุณ โดยอาจใช้หลักง่ายๆ คือการ ใช้ภาพที่สื่อถึงอารมณ์, ใช้สีสันที่โดดเด่น, ใช้ภาพ Before & After เป็นต้น
3.2 Compelling Copywriting (ข้อความโฆษณาที่โดนใจ)
ข้อความโฆษณาควรสั้น กระชับ ได้ใจความ และสื่อสารถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เคล็ดลับ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย, เน้น Pain Points ของลูกค้า, สร้างความอยากรู้อยากเห็น เป็นต้น
3.3 Clear Call-to-Action (CTA) (กระตุ้นให้เกิดการกระทำ)
CTA เป็นส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้คนทำตามจุดประสงค์ที่คุณต้องการ ตัวอย่าง CTA “ซื้อเลย!”, “สมัครเลย!”, “ดูเพิ่มเติม”, “ติดต่อเรา” เป็นต้น เคล็ดลับให้ใช้ CTA ที่ชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกเร่งด่วน ต้องตัดสินใจเลย เป็นต้น
4. เลือกรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสม
Facebook Ads มีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย แต่ละรูปแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน การเลือกรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสินค้า/บริการของคุณ จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้
4.1 Image Ads (โฆษณาภาพ) ง่าย รวดเร็ว เหมาะกับการสร้าง Awareness ข้อดีคือสร้างง่าย, รวดเร็ว, เหมาะกับการแสดงสินค้า/บริการที่เห็นภาพได้ชัดเจน แต่อาจไม่ดึงดูดเท่า Video Ads
4.2 Video Ads (โฆษณาวิดีโอ) น่าสนใจ สร้าง Engagement ได้ดีข้อดีคือดึงดูดความสนใจ, สร้าง Engagement, เล่าเรื่องราวได้ดี แต่ใช้เวลาและงบประมาณในการผลิตมากกว่า Image Ads
4.3 Carousel Ads (โฆษณาแบบสไลด์) ทำให้โชว์สินค้าได้หลายรายการ ข้อดีคือแสดงสินค้าได้หลายรายการ, เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ แต่อาจต้องใช้ภาพที่มีคุณภาพสูงและหลายมุมมอง
4.4 Lead Ads (โฆษณาเก็บข้อมูล) ทำให้เก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่าย และรวดเร็ว, เหมาะสำหรับการสร้าง Lead Generation ต่อไปแต่อาจไม่ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพสูงหรือมีน้อย เป็นต้น
5. ทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การทำ Facebook Ads นั้นต้องการการทดสอบและปรับปรุง Campaign อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยสามารถทำได้จากวิธีต่อไปนี้
5.1 A/B Testing
A/B Testing คือการทดสอบ Ad Sets หรือ Ad Creatives ที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น ทดสอบ Targeting Options ที่แตกต่างกัน, ทดสอบ Headline ที่แตกต่างกัน, ทดสอบ Call-to-Action ที่แตกต่างกันว่าแบบไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน เป็นต้น
5.2 ติดตามผลลัพธ์
ใช้ Facebook Ads Manager เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณติดตามผลลัพธ์ของ Campaign ได้อย่างละเอียด ข้อมูลที่ต้องติดตามเช่น Reach, Impressions, CTR, Conversion Rate, CPC, CPA, ROAS เพื่อการปรับปรุงแคมเปญให้ดีที่สุด
5.3 ปรับปรุง Campaign (ตามข้อมูลที่ได้)
เมื่อได้ข้อมูลจากการทดสอบและการติดตามผลลัพธ์แล้ว ให้นำข้อมูลนั้นมาปรับปรุง Campaign ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ปรับเปลี่ยน Targeting Options, ปรับปรุง Ad Creative, ปรับ Budget เพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด
จะเห็นได้ว่าการสร้าง facebook Ads ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นจะต้องใช้กลยุทธ และการวางแผนที่รอบคอบ หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณก็จะสามารถใช้ ในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนได้ไม่ยากนั่นเอง
Metrics สำคัญที่ใช้วัดผลมีอะไรบ้าง
เมื่อตัดสินใจทำ Facebook Ads แล้วการวัดผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยให้คุณทราบว่าแคมเปญนั้นๆ สร้างผลลัพธ์ได้มากน้อยแค่ไหน และควรปรับปรุงตรงไหนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ในหัวข้อนี้ เราจะมาดูกันว่า Metrics สำคัญมีอะไรบ้างโดยจะอธิบายไว้ให้เข้าใจง่ายดังนี้
1. Reach & Impressions
- Reach คือจำนวนคนที่เห็นโฆษณาของคุณ (Unique Users)
- Impressions เป็นค่าของจำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกแสดงขึ้นใน facebook (แต่อาจมีคนเห็นโฆษณาของคุณหลายครั้ง)
- การนำไปใช้ หาก Reach และ Impressions น้อย อาจต้องปรับปรุง Targeting Options หรือเพิ่ม Budget
- ตัวอย่าง หาก Reach ต่ำ แสดงว่าโฆษณาอาจไม่ถูกแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง
2. Click-Through Rate (CTR)
- CTR เป็นอัตราส่วนของผู้ที่คลิกโฆษณาของคุณต่อจำนวนคนที่เห็นโฆษณา (Clicks / Impressions) x 100%
- ความสำคัญคือ แสดงให้เห็นว่าโฆษณาของคุณน่าสนใจแค่ไหน
- การนำไปใช้ หาก CTR ต่ำ อาจต้องปรับปรุง Ad Creative (รูปภาพ, วิดีโอ, ข้อความโฆษณา)
- ตัวอย่าง ถ้าหาก CTR ต่ำ แสดงว่าโฆษณาอาจไม่ดึงดูดความสนใจ หรือไม่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
3. Conversion Rate
- Conversion Rate เป็นอัตราส่วนของผู้ที่ทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ (เช่น ซื้อสินค้า, ลงทะเบียน) ต่อจำนวนคนที่คลิกโฆษณา (Conversions / Clicks) x 100%
- ความสำคัญคือ แสดงให้เห็นว่าโฆษณาของคุณสามารถกระตุ้นให้เกิดการกระทำได้มากน้อยแค่ไหน
- การนำไปใช้ หาก Conversion Rate ต่ำ อาจต้องปรับปรุง Landing Page, ปรับปรุง Offer, หรือปรับปรุง Targeting Options
- ตัวอย่าง ถ้าหาก Conversion Rate ต่ำ แสดงว่าผู้ที่คลิกโฆษณาอาจไม่พบสิ่งที่ต้องการบน Landing Page หรือ Offer ไม่น่าสนใจเลยไม่เกิดการซื้อสินค้าและบริการ
4. Cost Per Click (CPC)
- CPC คือต้นทุนที่คุณจ่ายต่อการคลิกโฆษณาหนึ่งครั้ง (Cost / Clicks)
- ความสำคัญคือช่วยให้คุณทราบว่าการคลิกโฆษณาแต่ละครั้งมีต้นทุนเท่าไหร่
- การนำไปใช้ หาก CPC สูง อาจต้องปรับปรุง Quality Score ของโฆษณา (Relevance, Landing Page Experience, Expected CTR) หรือปรับปรุง Bidding Strategy
- ตัวอย่าง ถ้าหาก CPC สูง แสดงว่าโฆษณาอาจไม่ Relevant กับกลุ่มเป้าหมาย หรือ Landing Page อาจมีปัญหา
5. Cost Per Conversion (CPA)
- CPA คือ ต้นทุนที่คุณจ่ายต่อการเกิด Conversion หนึ่งครั้ง (Cost / Conversions)
- ความสำคัญคือ ช่วยให้คุณทราบว่าการได้ลูกค้าแต่ละรายมีต้นทุนเท่าไหร่
- การนำไปใช้ หาก CPA สูง อาจต้องปรับปรุงทั้งโฆษณา และ Landing Page หรือปรับปรุง Offer
- ตัวอย่าง ถ้าหาก CPA สูง แสดงว่าต้นทุนในการได้ลูกค้าใหม่อาจสูงเกินไป อาจต้องปรับปรุง Campaign หรือ Offer เพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุน
6. Return on Ad Spend (ROAS)
- ROAS คือรายได้ที่คุณได้รับจากการโฆษณา เทียบกับค่าใช้จ่ายในการโฆษณา (Revenue / Cost)
- ความสำคัญคือ แสดงให้เห็นว่าการลงทุนโฆษณาของคุณคุ้มค่าหรือไม่
- การนำไปใช้ ROAS ควรมีค่ามากกว่า 1 (หรือ 100%) เพื่อให้การโฆษณาคุ้มค่า
- ตัวอย่าง ถ้าหาก ROAS ต่ำกว่า 1 แสดงว่าคุณกำลังขาดทุนจากการโฆษณา อาจต้องปรับปรุง Campaign อย่างเร่งด่วน
การติดตามและวิเคราะห์ Metrics เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณเข้าใจประสิทธิภาพของ Campaign ของคุณ และสามารถปรับปรุง Campaign ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลด Waste และเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจของคุณได้
Facebook Ads ควรทำเองหรือจ้างเอเจนซี่?
เมื่อตัดสินใจที่จะทำ Facebook Ads แล้ว คำถามสำคัญที่หลายธุรกิจต้องเผชิญคือ ควรทำเอง หรือจ้างเอเจนซี่ เพราะแต่ละทางเลือกก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงข้อดีข้อเสียจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าทางเลือกไหนเหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด
ตารางเปรียบเทียบ ทำ Facebook Ads เอง vs. จ้างเอเจนซี่
หัวข้อ | ทำเอง (In-house) | จ้างเอเจนซี่ (Agency) |
ค่าใช้จ่าย | ||
ความเชี่ยวชาญ | ||
การวิเคราะห์ข้อมูล | ||
การปรับบแต่งโฆษณา | ||
กลยุทธ์การตลาด | ||
การใช้เครื่องมือ | ||
ความยืดหยุ่น | ||
ระยะเวลา |
จากตารางจะเห็นว่า การทำ Facebook Ads เอง และ การจ้างเอเจนซี่ มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน หากคุณมีเวลาและต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย การทำเองอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ต้องศึกษาและทดลองเพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในทางกลับกัน การจ้างเอเจนซี่การตลาด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว ใช้กลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำ และมีมืออาชีพช่วยดูแลโฆษณา แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่ม ROI ได้ดีกว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกทำ เองหรือจ้างเอเจนซี่ สิ่งสำคัญคือการใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องและบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่ RGA เราช่วยให้ธุรกิจของคุณ ลดต้นทุนการตลาด แต่ได้ผลลัพธ์ที่ ดีกว่า ด้วยเครื่องมือเฉพาะทางและทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโฆษณาออนไลน์ ไม่ต้องลองผิดลองถูกให้เสียเวลา—เราวิเคราะห์ Data-Driven และปรับกลยุทธ์ให้แคมเปญของคุณ คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
ROI สูงขึ้น ด้วยการใช้โฆษณาอย่างแม่นยำ
ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว ไม่ต้องจ้างทีม In-House
กลยุทธ์ที่วิเคราะห์จากข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่คาดเดา
อย่าปล่อยให้เงินโฆษณาของคุณสูญเปล่า! ให้ RGA ช่วยวางกลยุทธ์ ที่คุ้มค่าและทรงพลัง กว่าที่เคย ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี!
Facebook: risegroupasia