ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2025 สังเกตเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายเริ่มมีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไปและซับซ้อนมากขึ้น การใช้หลักตลาดแบบ Customization อาจเริ่มใช้ไม่ได้ผลแล้วในผู้ใช้บางกลุ่ม ดังนั้นจึกเกิดหลักการที่มุ่งไปที่การสร้างความสัมพันธ์อย่าง Marketing Personalization ขึ้นมา โดยจะเน้นไปที่การทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ รู้สึกถูกมองเห็น เป็นคนสำคัญ นั้นตอบโจทย์มากกว่าทำให้พวกเขาเลือกซื้อและอยากกลับมาใช้อีกรอบ
ในบทความนี้จะพาคุณไปดูว่า Marketing Personalization เป็นยังไงมีแนวคิดยังไง ตั้งแต่ความหมาย ประโยชน์ ข้อจำกัด ข้อมูลที่ใช้มีอะไรบ้าง ไปจนถึงขั้นตอนลงมือทำ เพื่อให้คุณสามารถนำไปสร้างประสบการณ์ที่ใช่ ทำให้ลูกค้าเลือกใช้และอยากกลับมาซื้อซ้ำได้
Table of content
- Personalization คืออะไร? แตกต่างจาก Customization อย่างไร?
- ข้อจำกัดและความท้าทายของ Personalization
- ข้อมูลอะไรที่ใช้ทำ Personalization?
- 5 ขั้นตอนการทำ Personalization ที่ได้ผล
- เครื่องมือสำหรับทำ Personalization
- Personalization กับ Marketing Automation
- ตัวอย่าง Personalization ที่แบรนด์ดังเลือกใช้
- สรุป
- คำถามที่พบบ่อย FAQs

Personalization คืออะไร? แตกต่างจาก Customization อย่างไร?
Marketing Personalization คือวิธีการหรือกลยุทธ์ในการสื่อสารนำเสนอเนื้อหาภาพรวมของผลิตภัณฑ์และบริการให้เข้ากับลูกค้าแต่ละราย จากการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคเช่น ความสนใจ ข้อมูลประชากร พฤติกรรมการซื้อ และกิจกรรมออนไลน์ต่างๆ โดยมีเป้าหมายคือการตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคลได้
หรือ Personalization คือการนำสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับคนๆ หนึ่งและพฤติกรรมดิจิทัลของพวกเขาในจุดเวลาหนึ่ง มาใช้กำหนดและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดต่อไป ที่จะส่งผลดีต่อเป้าหมายทางธุรกิจ แม้ว่าจะไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ Personalization ยุคใหม่นั้นเหนือกว่าด้วยการขับเคลื่อนด้วย AI และ (Data Driven) คือการนำเทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากด้วยประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว(บุคคล) นั่นเอง
Personalization กับ Customization แตกต่างกันยังไง?
Personalization นั้นคือการที่ระบบหรือแบรนด์ ปรับเนื้อหา ผลิตภัณฑ์ หรือประสบการณ์ ให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน Customization ก็คือการที่ผู้ใช้งานเลือกปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อให้เหมาะกับความชอบหรือความต้องการเฉพาะ เช่น การเลือกสี ขนาด การตั้งค่า หรือรูปแบบของผลิตภัณฑ์/บริการนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมี Hyper-Personalization ซึ่งเป็นขั้นสูงกว่า อาศัยการใช้ Big Data และการวิเคราะห์รูปแบบการซื้อและพฤติกรรม เพื่อคาดการณ์ความต้องการซื้อในอนาคต และปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทำไม Personalization สามารถสร้างลูกค้าประจำได้?
เพราะการแข่งขันทางธุรกิจไม่ได้วัดกันแค่คุณภาพของสินค้า หรือราคาที่คุ้มค่าอีกต่อไป แต่ยังรวมถึง “ประสบการณ์” ที่ลูกค้าได้รับด้วย จากการหาแหล่งข้อมูลต่างๆ ล้วนยืนยันถึงประโยชน์มหาศาลของการนำกลยุทธ์ Personalization มาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำดังเช่น
1. เพิ่มการมีส่วนร่วม (Increased Engagement)
เมื่อข้อความตรงใจและเกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละคน ย่อมดึงดูดความสนใจได้มากกว่าโฆษณาทั่วไป ข้อมูลจาก Mailchimp ระบุว่า 72% ของผู้บริโภคในปัจจุบันจะเลือกมีส่วนร่วมกับข้อความทางการตลาดที่เป็นส่วนตัวเท่านั้น ประสบการณ์ดิจิทัลที่ปรับแต่ง เช่น เว็บไซต์หรือแอปที่แสดงชื่อลูกค้าหรือประวัติการเข้าชม สร้างการโต้ตอบที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วมและอยากกลับมาใช้งานซ้ำ
2. เพิ่มรายได้และการขาย (Increased Revenue and Sales)
ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวส่งเสริมให้เกิดการซื้อซ้ำและเพิ่มอัตราการทำธุรกรรม Adobe อ้างถึงงานวิจัยที่ชี้ว่า Personalization สามารถเพิ่มรายได้ได้ถึง 15% ส่วน airfocus รายงานว่า 93% ของธุรกิจเห็นยอดขายเพิ่มขึ้นจากการทำ Personalization โดยเฉพาะคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนตัวมีประสิทธิภาพสูงมาก ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้นหลังจากได้รับคำแนะนำที่เป็นส่วนตัว สามารถเพิ่มยอดขายได้ 10% หรือมากกว่า และให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงถึง 8 เท่า ซึ่งการซื้อซ้ำจากลูกค้าเก่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มรายได้และ ROI นี้
3. สร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Customer Loyalty)
นี่คือหัวใจสำคัญในการสร้างลูกค้าประจำ Personalization ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกมองเห็น ได้รับการรับฟัง และเข้าใจ ซึ่งสร้างความรู้สึกเชิงบวกและความปรารถนาที่จะทำธุรกิจกับแบรนด์นั้นต่อไป กว่า 40% ของผู้บริโภคระบุว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าประจำของธุรกิจที่มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัว และ 80% ของผู้ที่ระบุว่าตนเองเป็นนักช้อปบ่อยๆ ซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ทำ Personalization เท่านั้น
4. เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (Greater Return on Marketing Investment – ROI)
การสื่อสารที่ตรงจุดและตรงใจช่วยให้ธุรกิจใช้งบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำมีต้นทุนการตลาดที่ต่ำกว่าลูกค้าใหม่มาก การลงทุนใน Personalization เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าจึงให้ ROI ที่สูงกว่า
ข้อจำกัดและความท้าทายของ Personalization
Personalization หรือการปรับประสบการณ์ให้ตรงกับแต่ละบุคคล เป็นกลยุทธ์สำคัญในยุคดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า แต่ทั้งนี้การนำ Personalization มาใช้ในธุรกิจหรือการตลาดยังมีข้อจำกัดอยู่หลายอย่างนั่นคือ
1. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า เช่น พฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ อาจสร้างความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว หากไม่มีการจัดการข้อมูลที่ดีหรือไม่โปร่งใส อาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่นในแบรนด์ และยังเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูล เช่น GDPR
2. ความซับซ้อนของการจัดการข้อมูล
การทำ Personalization จะต้องอาศัยการรวบรวม วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งมีความซับซ้อนสูง ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น
3. ความแม่นยำของข้อมูล
หากข้อมูลที่เก็บรวบรวมไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ อาจนำไปสู่การคาดการณ์หรือแนะนำสิ่งที่ไม่ตรงกับความต้องการจริงของลูกค้า ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ดีและลดประสิทธิภาพของกลยุทธ์ ทั้งข้อจำกัดด้านขนาดและคุณภาพของข้อมูลคือ หากธุรกิจขนาดเล็กหรือกลุ่มเป้าหมายที่มีขนาดเล็กอาจไม่มีข้อมูลมากพอสำหรับการวิเคราะห์และปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะสม
4. การลงทุนและทรัพยากร
การพัฒนาระบบ Personalization ต้องลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับบางองค์กร
อีกทั้งความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาและกลยุทธ์ Personalization อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า

ข้อมูลอะไรบ้างที่ใช้ในการทำ Personalization?
ในการทำ Personalization นั้นจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากหลายแหล่งและหลายประเภท เพื่อให้เข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ โดยข้อมูลหลักที่นิยมใช้ สามารถบกตัวอย่างตามประเภทดังนี้
- ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data)
- ชื่อ, เพศ, อายุ, ที่อยู่, ตำแหน่งที่ตั้ง
- ประเภทอุปกรณ์, เบราว์เซอร์, ภาษา
- ข้อมูลประชากรศาสตร์อื่นๆ เช่น รายได้, อาชีพ
- ข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral Data)
- พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ เช่น จำนวนครั้งที่เข้าชม, หน้าเพจที่ดู, ระยะเวลาที่อยู่ในแต่ละหน้า, เส้นทางการคลิก, การค้นหาในเว็บไซต์
- ประวัติการซื้อสินค้า, การเพิ่มสินค้าลงตะกร้า, การละทิ้งตะกร้า
- การมีส่วนร่วมกับแคมเปญ, การเปิดอีเมล, การคลิกโฆษณา, การตอบแบบสอบถาม, การแชทกับฝ่ายสนับสนุน
- ข้อมูลเชิงจิตวิทยา (Psychographic Data)
- ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ ค่านิยม ทัศนคติ ช่วยให้เข้าใจแรงจูงใจและความต้องการที่ลึกซึ้งของลูกค้า
- ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time Data)
- ข้อมูลที่เกิดขึ้นทันที เช่น การคลิก การตอบสนองต่อโปรโมชั่นในขณะนั้น ใช้ในการปรับแต่งข้อเสนอหรือเนื้อหาแบบทันทีทันใด
- ข้อมูลจากช่องทางการสื่อสาร (Channel Data)
- ช่องทางที่ลูกค้าใช้ติดต่อ เช่น เว็บไซต์ อีเมล โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชัน เพื่อเลือกช่องทางและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลหรือข้อเสนอ
- ข้อมูลจากระบบสมาชิก/CRM
- ข้อมูลที่เก็บจากระบบสมาชิกหรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) เช่น ประวัติการติดต่อ ความพึงพอใจในการใช้บริการ
- ข้อมูลบริบท (Contextual Data)
- เช่น สถานที่ เวลา อุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อปรับประสบการณ์ให้เหมาะกับสถานการณ์ขณะนั้น
ตัวอย่างการนำข้อมูลไปใช้ เช่น การแนะนำสินค้า/บริการที่ตรงใจตามประวัติการซื้อหรือความสนใจ การส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะตอบสนอง การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์หรือแอปให้แสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าแต่ละคน
5 ขั้นตอนการทำ Personalization ที่ได้ผลมากที่สุด
การทำ Personalization ที่ได้ผลต้องเริ่มจากการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด กำหนดเป้าหมายชัดเจน ปรับแต่งเนื้อหาและประสบการณ์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. กำหนดกลยุทธ์
วิเคราะห์ว่าการทำ Personalization จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดที่จุดใดใน Marketing Funnel ไม่ว่าจะเป็น Awareness, Consideration, Conversion, หรือแม้แต่ Loyalty และ Advocacy จุดประสงค์คือเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ “ตรงใจ” ในเวลาที่ “ใช่”
- ช่วง Awareness –ใช้ข้อมูลเบื้องต้น เช่น พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ หรือความสนใจเฉพาะด้าน เพื่อปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น โฆษณาแบบ Dynamic หรือบทความที่แนะนำตามความสนใจ
- ช่วง Consideration –นำเสนอสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ลูกค้าดูหรือสนใจ พร้อมแสดงรีวิว หรือข้อมูลเชิงลึกที่ตอบข้อสงสัยเฉพาะบุคคล
- ช่วง Conversion –ใช้กลยุทธ์เช่น Remarketing แบบเฉพาะเจาะจง, ข้อเสนอพิเศษส่วนตัว, หรือการส่งคูปองที่ปรับตามพฤติกรรมการซื้อ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจ
- ช่วง Loyalty และ Advocacy –สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลหลังการขาย เช่น อีเมลแนะนำสินค้าที่เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง การส่งของขวัญวันเกิด หรือโปรแกรมสะสมแต้มที่ปรับตามความถี่การซื้อ
การกำหนดว่า Personalization ควรเกิดที่จุดใดใน Funnel มากที่สุด ควรอิงจาก Data Insight ที่ได้จากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้สามารถสื่อสารได้ตรงเป้ามากขึ้น และเพิ่มผลลัพธ์อย่าง ROI ได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. วางแผนวิธีการเก็บและใช้ข้อมูล
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งข้อมูลประชากร ข้อมูลพฤติกรรม เช่น ประวัติการซื้อ การเข้าชมเว็บไซต์ และข้อมูลเชิงลึก เช่น ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ รวมถึงข้อมูลเรียลไทม์จากการตอบสนองของลูกค้า เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และปรับแต่งต่อไป
การกำหนดวิธีการเก็บข้อมูลที่มีความโปร่งใสและการได้รับความยินยอมจากผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการสร้างความไว้วางใจ การเสนอทางเลือกให้ Opt-out และอนุญาตให้ลูกค้าสร้างโปรไฟล์ของตนเองเป็นวิธีหนึ่งในการทำเช่นนี้ ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีและโอกาสในการซื้อซ้ำได้อย่างแน่นอน
3. การวิเคราะห์และจัดกลุ่มข้อมูล
หลังจากที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ อีเมล แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือระบบ CRM ขั้นตอนต่อไปคือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analysis) เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า
โดยเป้าหมายหลักคือการจัดกลุ่ม (Segmentation) ลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อยที่มีลักษณะร่วมกัน เช่น
- พฤติกรรมการซื้อ –ความถี่ในการสั่งซื้อ มูลค่าต่อการซื้อ ความภักดีต่อแบรนด์
- ความชอบส่วนตัว –ประเภทสินค้า/บริการที่สนใจ ช่องทางที่ใช้งานบ่อย
- แรงจูงใจในการซื้อ –ซื้อเพราะโปรโมชั่น คุณภาพ รีวิวจากผู้ใช้จริง หรือการแนะนำจากเพื่อน
- ช่วงเวลาการซื้อ –ซื้อช่วงสิ้นเดือน ช่วงเทศกาล หรือซื้อซ้ำตามรอบเวลา
จากข้อมูลข้างต้นสามารถนำมาสร้าง Customer Profiling ที่มีรายละเอียด เช่น เพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมเฉพาะตัว และปัจจัยกระตุ้นการตัดสินใจ เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการออกแบบ Personalized Campaigns ที่ตรงจุดและตอบโจทย์มากขึ้น
ยิ่งสามารถทำ Segmentation ได้ละเอียดเท่าใด ก็ยิ่งสามารถออกแบบประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Hyper-Personalization) ได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่ม Conversion Rate, Customer Lifetime Value และความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้านั่นเอง
4. การออกแบบและนำข้อมูลไปใช้
เมื่อมีข้อมูลลูกค้าที่ผ่านการวิเคราะห์และจัดกลุ่มอย่างแม่นยำแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลนั้นมาออกแบบ แคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Campaigns) ที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด สร้างคอนเทนต์และข้อเสนอที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มหรือแต่ละบุคคล เช่น
– การแนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล (Recommendation engine)
โซลูชั่นการแนะนำสินค้า บริการ หรือเนื้อหาที่น่าจะตรงกับความสนใจและความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลมากที่สุด ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ E-commerce เช่น “สินค้าที่คุณอาจสนใจ”, “ลูกค้าที่ซื้อสินค้านี้มักซื้อ…”, “แนะนำสำหรับคุณ”, แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลง/วิดีโอ เช่น “เพลง/หนังที่คุณน่าจะชอบ”, เว็บไซต์ข่าว เช่น “บทความแนะนำสำหรับคุณ” เป็นต้น
ประโยชน์ของการทำคือ ช่วยเพิ่มยอดขาย เพิ่มเวลาที่ลูกค้าอยู่บนแพลตฟอร์ม ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
– ข้อความแจ้งเตือนตามพฤติกรรม (Behavioral personalization)
การ ปรับแต่งเนื้อหา ข้อความ หรือการสื่อสารต่างๆ ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมที่ผู้ใช้งานกำลังทำอยู่ หรือเพิ่งทำไปล่าสุด โดยอิงจากการกระทำหรือการแสดงออกบนแพลตฟอร์ม ในช่วงเวลาสั้นๆ หรือต่อเนื่อง อาจนำมาแสดงเป็น ป๊อปอัพโปรโมชั่น, การแสดงคำแนะนำสินค้าเพิ่มเติมเมื่อเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า เป็นต้น
ประโยชน์ของการทำคือ ทำให้ข้อความสื่อสารมีความเกี่ยวข้อง (Relevant) ในทันที ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจหรือการดำเนินการตามเป้าหมาย
– ข้อความอัตโนมัติที่ตอบสนองตามเหตุการณ์สำคัญ (Triggered personalization)
ข้อความอัตโนมัติคือการ ตั้งค่าระบบให้ส่งข้อความหรือการสื่อสารออกไปโดยอัตโนมัติ เมื่อมี “เหตุการณ์” หรือ “เงื่อนไข” สำคัญที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเกิดขึ้น โดยข้อความนั้นมักจะถูกปรับแต่งให้เหมาะกับบริบทของเหตุการณ์นั้นๆ อาจนำมาใช้เป็น อีเมลต้อนรับ (Welcome Email),การแจ้งเตือนเมื่อสินค้าที่สนใจกลับมามีในสต็อก เป็นต้น
ประโยชน์ของการทำคือ ช่วยให้การสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปอย่างทันท่วงที สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการที่ต้องการในจังหวะที่เหมาะสม
อื่นๆอีก เช่น Hyper-personalization ใช้ข้อมูลแบบ Real-time ร่วมกับ AI เพื่อปรับเนื้อหาในทุก Touchpoint ให้ใกล้เคียงกับ “1 ต่อ 1” ที่สุด หรือจะเป็น Omni-channel Personalization ทำให้ประสบการณ์เฉพาะบุคคลสอดคล้องกันทุกช่องทาง (Web, App, Email, Line OA, Facebook ฯลฯ) เป็นต้น
5. การติดตามผลและปรับปรุงแคมเปญ
หลังจากที่เราได้ออกแบบและนำกลยุทธ์ Personalization ต่างๆ ไปใช้งานแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการติดตามผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยใช้ตัวชี้วัดที่เหมาะสม เช่น Conversion Rate, CTR เป็นต้น เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรได้ผลและอะไรไม่ได้ผล และใช้การทดสอบต่างๆ โดยเฉพาะ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบและหาวิธีที่ดีที่สุดในการปรับแต่งกลยุทธ์ เนื้อหา หรือข้อเสนอต่างๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เครื่องมือสำหรับทำ Personalization
การทำ Personalization จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยรวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหาหรือข้อเสนอที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายอย่างแม่นยำที่สุด โดยเครื่องมือหลักที่นิยมใช้มีดังตารางต่อไปนี้
ประเภทเครื่องมือ | ฟังก์ชันหลัก | ตัวอย่าง/รายละเอียด |
Personalization Platform | รวบรวม-วิเคราะห์ข้อมูล, แบ่งกลุ่ม, แนะนำสินค้า | Amazon Recommendation System |
CRM | จัดเก็บข้อมูลลูกค้า, ติดแท็กอัตโนมัติ | ระบบ CRM ต่าง ๆ ที่มีฟีเจอร์ Auto-tagging |
Marketing Automation | ส่งแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ | ระบบส่งอีเมลอัตโนมัติ, การตลาดผ่านโซเชียล |
AI Agent | วิเคราะห์พฤติกรรม, สร้างคำแนะนำเฉพาะบุคคล | Google Recommendations AI, AWS Personalize |
Identity Resolution & Audience Management | ยืนยันตัวตนลูกค้า, จัดกลุ่มลูกค้า | เครื่องมือ MarTech สำหรับจัดการกลุ่มเป้าหมาย |
การเลือกเครื่องมือ Personalization ควรพิจารณาจากความต้องการและลักษณะของธุรกิจ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี ในการสร้างความสัมพันธ์และความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมถึงการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอื่นๆ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการรักษาฐานลูกค้าไว้ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์สามารถจัดการกับข้อมูลจำนวนมาก และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว
Personalization กับ Marketing Automation
หากจะเปรียบว่าการทำ Personalization คือ “อะไร” ที่คุณจะสื่อสารกับลูกค้าส่วน Marketing Automation คือ “อย่างไร” และ “เมื่อไหร่” ที่คุณจะทำการสื่อสารทางการตลาดต่างๆ โดยอาศัยการตั้งค่าเงื่อนไขหรือการตอบสนองตามเหตุการณ์ มีข้อดีคือ ความรวดเร็ว และความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ของงานที่ต้องทำซ้ำๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
การใช้ Marketing Automation มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ Personalized Marketing ในยุคดิจิทัลด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
- ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับลูกค้า
Marketing Automation ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ และประวัติการโต้ตอบของลูกค้าได้อย่างละเอียด เพื่อส่งข้อความหรือข้อเสนอที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพของแคมเปญ
การทำงานแบบอัตโนมัติช่วยให้ส่งแคมเปญได้อย่างแม่นยำในเวลาที่เหมาะสม เช่น การส่งโปรโมชั่นหรือคูปองส่วนลดตามพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายและสร้างประสบการณ์ที่ดี
- ประหยัดเวลาและลดต้นทุน
Marketing Automation ช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อน เช่น การส่งอีเมลหรือข้อความติดตามผล ทำให้ทีมการตลาดมีเวลามากขึ้นในการวางแผนกลยุทธ์และสร้างสรรค์งานที่ต้องใช้เวลาและ ลดข้อผิดพลาดจากการทำงานได้ด้วย
- รองรับการทำงานแบบหลายช่องทาง
ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ที่สอดคล้องและต่อเนื่อง เช่น ลูกค้าดูสินค้าบนเว็บไซต์และได้รับข้อเสนอผ่านอีเมล หรือพนักงานขายสามารถแนะนำสินค้าที่ลูกค้าสนใจได้ทันทีเมื่อมาที่หน้าร้าน
- เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และโอกาสขาย
การตลาดอัตโนมัติช่วยเพิ่มคุณภาพของลูกค้าเป้าหมายและยอดขาย โดยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
Marketing Automation เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ Personalized Marketing ในยุคดิจิทัลมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ส่งข้อความและข้อเสนอที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง ลดภาระงานซ้ำซ้อน และเพิ่มความแม่นยำในการทำตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด
ตัวอย่าง Personalization ที่แบรนด์ดังเลือกใช้
แบรนด์ดังต่างๆ ได้นำ Personalization ในหลากหลายรูปแบบมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับลักษณะธุรกิจและเป้าหมายของตนเอง เพื่อมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำที่สุด เรามาดูกันว่าจะมีรูปแบบไหนบ้าง
1. Netflix
ใช้ระบบ Personalized โดยแนะนำหนังและซีรีส์ตามประวัติการรับชมของผู้ใช้แต่ละคน พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนรูปหน้าปกหนังหรือซีรีส์ให้แตกต่างกันตามความชอบของแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่มโอกาสการรับชมตามแนวโน้มพฤติกรรมการใช้งาน
2. Amazon
ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้แต่ละรายเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจ เช่น การแสดงหน้าโฮมเพจที่เฉพาะบุคคล การแนะนำรายการสินค้าที่น่าสนใจ และการเรียกชื่อลูกค้าในระบบ เพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษและเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งาน
3. Coca-Cola
จากแคมเปญ “Share a Coke” ที่ใส่ชื่อของลูกค้าบนขวดโค้ก ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้มีส่วนร่วม ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียผ่านแฮชแท็ก #ShareACoke
4. Spotify
แนะนำเพลย์ลิสต์และเพลงตามพฤติกรรมการฟังของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อสร้างประสบการณ์การฟังเพลงที่เหมาะสมกับรสนิยมและความชอบเฉพาะบุคคลนั้นๆ
5. Sephora
ใช้ Hyper-Personalization โดยแนะนำสินค้าเครื่องสำอางตามข้อมูลเฉพาะบุคคล เช่น สีผิวและความชอบของลูกค้า เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการนำเสนอสินค้าและสร้างแรงกระตุ้นในการซื้อ และซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการทำ Personalization ไม่ได้เป็นเพียงแค่ฟีเจอร์เสริม แต่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการและซื้อสินค้าซ้ำอย่างต่อเนื่อง ด้วยการแสดงให้เห็นว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในความต้องการหรือความชอบของพวกเขาทำให้ทุกคนเป็นคนสำคัญนั่นเอง
สรุป
Marketing Personalization เป็นกลยุทธ์สำคัญในการปรับแต่งการตลาดให้ตรงกับความต้องการและความชอบของลูกค้าแต่ละราย ธุรกิจสามารถได้รับประโยชน์อย่างมาก ทั้งการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น ยอดขายที่สูงขึ้น ความภักดีของลูกค้าที่แข็งแกร่งขึ้น และ ROI ที่ดีขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสร้าง ลูกค้าประจำ Personalization ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพราะมันช่วยสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่า ได้รับการดูแล และเข้าใจ เมื่อลูกค้ารู้สึกเช่นนั้น พวกเขาก็มีแนวโน้มสูงที่จะกลับมาซื้อซ้ำอีกนั่นเอง
แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและการจัดสรรทรัพยากร แต่การมีกลยุทธ์ที่ดี การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนกับลูกค้า สร้างความภักดีที่แท้จริง และกระตุ้นให้พวกเขาอยากกลับมาซื้อซ้ำได้อย่างต่อเนื่อง
FAQ คำถามที่พบบ่อย
- Personalization กับ Customization ต่างกันยังไง?
Personalization คือแบรนด์ใช้ข้อมูลปรับแต่งให้ลูกค้าโดยอัตโนมัติ (แบรนด์ทำ) ส่วน Customization คือลูกค้าเป็นคนเลือกปรับเปลี่ยนเอง (ลูกค้าทำ)
- การทำ Personalization มีประโยชน์อะไรกับธุรกิจบ้าง?
ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม, ยอดขาย/รายได้, สร้างความภักดีและกระตุ้นการซื้อซ้ำ, ทำให้ประสบการณ์ลูกค้าดีขึ้น และเพิ่ม ROI
- Personalization จะทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ชอบ หรือรบกวนไหม?
อาจเป็นไปได้ถ้ามากไปหรือไม่โปร่งใส วิธีแก้คือต้องทำอย่างโปร่งใส ขอความยินยอม และสร้างสมดุลระหว่างการมอบประสบการณ์ที่ดีกับการเคารพความเป็นส่วนตัวของลูกค้า
ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาฟรี! Rise Group Asia (RGA)
Facebook www.facebook.com/risegroupasia