Reels บน Facebook และ Instagram ในตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ที่สำหรับความบันเทิงหรือแบ่งปันเรื่องราวอีกต่อไป เพราะในตอนนี้วิดีโอสั้นกลายเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่นิยมมากที่สุดบนโซเชียลมีเดีย Reels ได้กลายเป็น ช่องทางสร้างรายได้ และ เครื่องมือสำคัญในการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นสำหรับคนทั่วไป ครีเอเตอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
ในวันนี้ RGA ได้รวมเอาคู่มือการทำ Reels ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจทั้งบน Facebook และ Instagram ได้แบบง่ายและทำตามได้ ทั้งในแง่ของคอนเซ็ป รูปแบบของวิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยม และแนวทางการใช้ Reels เพื่อ สร้างรายได้ และต่อยอดความสำเร็จบนโลกออนไลน์ ทุกขั้นตอนการวางแผน การสร้างสรรค์คอนเทนต์ การเผยแพร่ การวัดผล ไปจนถึงข้อควรระวังที่ควรรู้ก่อนเริ่มใช้งานอย่างจริงจังเพื่อให้คุณได้ประโยชน์มากที่สุด
กดเลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
- ทำความรู้จักกับ Reels
- ความแตกต่างของ Reels กับฟีเจอร์วิดีโออื่นๆ
- Reels สร้างรายได้ได้อย่างไร?
- ก่อนเริ่มทำ Reels ต้องเตรียมพร้อมยังไงบ้าง?
- เทคนิคสร้างคลิป Reels ให้โดดเด่นและดึงดูดมากที่สุด
- แนวทางการเผยแพร่และโปรโมทคลิป Reels
- การวัดผลและปรับปรุงคุณภาพ content Reels
- สิ่งที่ไม่ควรทำใน Reels (เพื่อไม่ให้โดนแบนหรือลดการมองเห็น)
- สรุป
Reels คืออะไร?
Reels คือ ฟีเจอร์วิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มในเครือ Meta อย่าง Facebook และ Instagram ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถ สร้าง แก้ไข และแชร์วิดีโอ ความยาวสูงสุด 90 วินาทีบน Facebook และ 15–90 วินาทีบน Instagram ได้อย่างง่ายดาย ที่มาพร้อมกับเครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การตัดต่อวิดีโอ, ใส่เพลงจากคลังเพลงขนาดใหญ่, เอฟเฟกต์ AR, ข้อความบนคลิป รวมถึงการปรับความเร็วของวิดีโอ
วิดีโอ Reels ไม่ได้แสดงแค่บนฟีดของคุณเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสปรากฏบนหน้า Explore ของ Instagram และ แนะนำวิดีโอบน Facebook ทำให้เข้าถึงผู้ชมใหม่ๆ ที่สนใจคอนเทนต์แนวเดียวกันได้ทั่วโลก อีกจุดเด่นคือ Reels ที่โพสต์แล้วจะ ยังคงอยู่บนโปรไฟล์ของคุณอย่างถาวร (ต่างจาก Stories ที่หายไปภายใน 24 ชั่วโมง) เพิ่มโอกาสในการถูกค้นพบและดูซ้ำได้ตลอดเวลา
ทำไม Reels ถึงได้รับความนิยมมากขึ้น
ความนิยมของ คลิป Reels ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ต้องการรับชมคอนเทนต์แบบ รวดเร็ว เข้าใจง่าย ได้ประโยชน์ และให้ความบันเทิงได้ทันที อีกทั้งสถิติต่างๆ ยังแสดงให้เห็นชัดเจนว่า วิดีโอ คือคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ วิดีโอสั้น ที่ตอบโจทย์การใช้งานบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักของผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้
ส่งผลให้ Reels ในช่องทาง Online Marketing นั้นมีอัตรา Engagement Rate หรือการมีส่วนร่วม สูงกว่าคอนเทนต์รูปแบบอื่นๆ ทำให้ทั้งครีเอเตอร์และธุรกิจต่างมองเห็นโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น ยิ่งคอนเทนต์น่าสนใจมากเท่าไหร่ โอกาสที่คลิป Reels จะถูก รับชมจนจบ กดถูกใจ คอมเมนต์ แชร์ หรือบันทึกเก็บไว้ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ความแตกต่างของ Reels กับฟีเจอร์วิดีโออื่นๆ
เพื่อให้เข้าใจบทบาทและจุดเด่นของ Reels ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มาดูความแตกต่างระหว่าง Reels กับฟีเจอร์วิดีโออื่นๆ ทั้งบนแพลตฟอร์มของ Meta และนอกแพลตฟอร์มกัน
» Reels vs. Stories
แม้ทั้งสองจะเป็นวิดีโอแนวตั้งเหมือนกัน แต่ Stories มีความยาวจำกัดที่ 26 วินาที และจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เหมาะสำหรับการแชร์เรื่องราวแบบเรียลไทม์หรือชีวิตประจำวันขณะที่ Reels ยาวได้ถึง 90 วินาที (บน Facebook) อยู่ในโปรไฟล์แบบถาวร และมีโอกาสเข้าถึงผู้ชมใหม่ๆ ที่ไม่ได้ติดตามคุณได้มากกว่า เหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ระยะยาว สร้างแบรนด์ หรือรีวิวสินค้า
» Reels vs. Facebook Video (วิดีโอทั่วไป)
วิดีโอทั่วไปบน Facebook มักมีความยาวมากกว่า และส่วนใหญ่เป็น วิดีโอแนวนอน ในขณะที่ Reels ถูกออกแบบมาสำหรับวิดีโอแนวตั้ง (9:16) ที่มีความสั้น กระชับ และเหมาะกับการเสพคอนเทนต์บนมือถือโดยเฉพาะ
» Reels vs. TikTok / YouTube Shorts
ทั้ง Reels, TikTok และ Shorts ต่างเป็นผู้นำในตลาดวิดีโอสั้น มีจุดร่วมหลายอย่าง เช่น การใช้ฟอร์แมตแนวตั้ง การใส่เพลง เอฟเฟกต์ และเครื่องมือตัดต่อ แต่ก็มีความต่างในรายละเอียด เช่น
- TikTok รองรับความยาวคลิปที่นานกว่า และมีลูกเล่นด้านการตัดต่อเยอะ
- YouTube Shorts เชื่อมโยงกับวิดีโอยาวและระบบแนะนำของ YouTube
- Instagram Reels Ads มีศักยภาพในการสร้างยอด Impressions ได้ดีเมื่อเทียบกับ TikTok Ads โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้งาน Instagram เป็นหลัก
ประโยชน์ของ Reels ในแง่ธุรกิจ
สำหรับทั้ง ครีเอเตอร์ และ เจ้าของธุรกิจ การสร้างสรรค์คลิป Reels ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพื่อความสนุกหรือความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างประโยชน์มากมายที่ส่งผลต่อการเติบโตในโลกออนไลน์ได้อย่างชัดเจนเช่น
- เพิ่มการเข้าถึง (Reach)
ระบบแนะนำของ Reels ช่วยดันคอนเทนต์ไปยังผู้ใช้งานที่มีความสนใจคล้ายกัน ทำให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามจำนวนมาก
- กระตุ้นการมีส่วนร่วม (Engagement)
คอนเทนต์ที่น่าสนใจและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มยอดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ และการบันทึกโพสต์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อัลกอริทึมมองว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพและควรแสดงให้คนอื่นเห็นมากขึ้น
- สร้างตัวตนและภาพลักษณ์ (Brand Building)
Reels เป็นเครื่องมือที่ดีในการเล่าเรื่องราวของแบรนด์หรือบุคคล แสดงเบื้องหลังการทำงาน หรือสื่อสารคุณค่าที่คุณอยากแบ่งปัน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์กับผู้ชม
ผู้ใช้งานจำนวนมากมักเปิดใจรับชมคอนเทนต์แนะนำสินค้าและบริการผ่าน Reels และพร้อมตัดสินใจซื้อ หากเนื้อหานั้นน่าเชื่อถือ นำเสนออย่างสร้างสรรค์ และตรงกับความสนใจของพวกเขาหลังจากดูนั่นเอง

Reels สร้างรายได้ได้อย่างไร ?
หนึ่งในคำถามที่หลายคนสนใจคือ Facebook และ Instagram Reels สร้างรายได้ได้จริงหรือไม่ คำตอบคือ ทำได้และมีหลายช่องทางด้วยกัน — ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม เงื่อนไข และ ประสิทธิภาพของคลิป Reels ของคุณ สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ รายได้จาก Reels ไม่ได้คำนวณตามจำนวนวิวแบบตายตัว เหมือน YouTube เสมอไป แต่จะมาจากการเข้าร่วมในโปรแกรมหรือคุณสมบัติที่แพลตฟอร์มเปิดให้ใช้ โดยมีรายละเอียดหลักๆ อิงตามแพลตฟอร์มดังนี้
📌 Facebook Reels
- Stars ผู้ชมสามารถซื้อ “ดาว” เพื่อส่งให้ Creator เป็นกำลังใจหรือสนับสนุนโดยตรง
- Subscriptions เปิดให้แฟนคลับสมัครเป็นสมาชิกแบบรายเดือน เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์พิเศษ
- Branded Content ร่วมมือกับแบรนด์ในการสร้างคอนเทนต์โปรโมทสินค้า/บริการ
- Ads on Facebook Reels เปิดให้แสดงโฆษณาแทรกในคลิป Reels ของคุณ (รายได้ขึ้นอยู่กับยอดวิวโฆษณาและ Engagement)
- Facebook Reels Play Bonus Program โปรแกรมโบนัสที่ Facebook จัดขึ้น โดยกำหนดเป้าหมาย เช่น ยอดวิวหรือการมีส่วนร่วม หากทำได้ตามเป้า จะได้รับโบนัส (โปรแกรมนี้อาจเปิดเฉพาะบัญชีที่ได้รับเชิญ)
📌 Instagram Reels
- Branded Content ร่วมมือกับแบรนด์ในการทำคอนเทนต์โฆษณา (เช่นเดียวกับ Facebook)
- Badges ผู้ชมสามารถซื้อ Badge เพื่อสนับสนุน Creator ระหว่างการไลฟ์หรือดู Reels
- Subscriptions เปิดรับสมาชิกรายเดือนสำหรับคอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม
- Bonuses โปรแกรมโบนัสที่ Instagram จัดขึ้นเป็นระยะ เช่น ให้รางวัลตามยอดวิวหรือ Engagement ของคอนเทนต์ (เงื่อนไขแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงเวลา)
การสร้างรายได้จาก Reels ไม่ได้เกิดขึ้นอัตโนมัติ จากยอดวิวเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการใช้ประโยชน์จาก เครื่องมือและฟีเจอร์ที่แพลตฟอร์มเตรียมไว้ ดังนั้น หากคุณเป็น Creator หรือธุรกิจที่จริงจังกับการทำคอนเทนต์ Reels ก็มีโอกาสสร้างรายได้จริง หากวางกลยุทธ์และบริหารเนื้อหาอย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนเริ่มทำ Reels ต้องเตรียมพร้อมยังไงบ้าง?
ก่อนจะลงมือสร้าง คลิป Reels แรกของคุณ ลองใช้เวลาเตรียมความพร้อมและวางแผนสักเล็กน้อย เพราะการทำคอนเทนต์แบบมีทิศทางชัดเจน จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการ สร้างรายได้จาก Reels อย่างจริงจัง
ขั้นตอน | รายละเอียด |
วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย | – ผู้ชมของคุณคือใคร (อายุ, ความสนใจ, ภาษา ฯลฯ)- เข้าใจพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของกลุ่มเป้าหมาย |
กำหนดเป้าหมายหลัก | – ต้องการเพิ่มผู้ติดตาม, ยอดขาย, Engagement หรือสมัครเข้าร่วมโปรแกรมรายได้?- ระบุเป้าหมายให้ชัดเพื่อกำหนดแนวทางการผลิต |
วางไอเดียคอนเทนต์ | – คิดแนวคอนเทนต์ตามเป้าหมาย เช่น – ให้ความรู้ / รีวิว / เบื้องหลัง / Challenge- วาง tone & style ให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย |
จัดทำ Content Calendar | – วางแผนว่าแต่ละสัปดาห์จะลงกี่คลิป- แบ่งธีมรายสัปดาห์ เช่น “สัปดาห์รีวิวสินค้า”, “สัปดาห์ฮาวทู” |
เริ่มสร้างและโพสต์ Reels | – ผลิตคลิปจากแผนที่วางไว้- ใส่แคปชัน/CTA ให้ชัดเจน- ติดตามผลเบื้องต้นหลังลงคลิป |
ติดตามผล & ปรับปรุง | – วิเคราะห์ Engagement ของแต่ละคลิป- ปรับรูปแบบ/เนื้อหาตามผลลัพธ์- ลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Music, Text, Effect ฯลฯ |
และ หมั่นดูเทรนด์และ Challenge ใหม่ๆ ทุกสัปดาห์ เพื่อปรับตัวและเพิ่มโอกาสถูกค้นพบจากกลุ่มผู้ที่สนใจ
เทคนิคสร้างคลิป Reels ให้น่าสนใจ คนดูแล้วไม่เลื่อนผ่าน
เมื่อคุณวางแผนคอนเทนต์เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำสักที การสร้างคลิป Reels ที่มีคุณภาพและน่าสนใจคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้คลิปของคุณมี ยอดวิวสูง การมีส่วนร่วมมากขึ้น (Engagement) และสามารถสร้างรายได้จาก Reels
1. ดึงดูดสายตาใน 3–5 วินาทีแรก
เพราะผู้ชมตัดสินใจเร็วมากในตอนต้นคลิป เพราะถ้าคลิปน่าเบื่อหรือดูไม่รู้เรื่องในช่วงแรก คนจะเลื่อนผ่านไปทันที
- แนะนำให้ใช้ภาพที่สะดุดตา เช่น ใช้เทคนิคมุมกล้อง จัดองค์ประกอบภาพ ใช้แสงที่เหมาะสม หรือเปิดคลิปด้วยคำถาม/ประโยคที่ทำให้คนอยากรู้ต่อ
- ตัวอย่าง “คุณรู้ไหมว่าแค่ 15 วินาที ก็เปลี่ยนคนดูเป็นผู้ซื้อได้?”
2. ใส่เอฟเฟคเสียง หรือเพลงประกอบให้เข้ากับคลิป
เสียงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างอารมณ์ให้กับคลิปได้ดีมาก ใช้เพลงฮิตที่กำลังเป็นกระแสจะช่วยให้ระบบของ Instagram/Facebook ดันคลิปไปมากขึ้น
- ถ้าคลิปมีการเล่าเรื่อง ลองใช้เสียงพากย์ของคุณเอง (Voice Over) หรือ Text-to-Speech เพื่อเล่าให้เข้าใจง่าย
- ตัวอย่าง คลิปรีวิวอาหารอาจใช้เสียงชวนกิน หรือดนตรีสนุกๆ ช่วยเพิ่มอารมณ์
3. ใส่ข้อความช่วยอธิบาย
เพราะหลายคนดูคลิปแบบปิดเสียง หรือเลื่อนผ่านเร็วๆ การใส่ข้อความ (Text) ประกอบหรือ คำบรรยาย (Subtitle) จะช่วยให้คนเข้าใจคลิปได้ แม้ไม่ได้ฟังเสียง และยังดึงดูดสายตาได้อีกด้วย
- ควรเน้นข้อความสำคัญ เช่น ชื่อสินค้า ประโยชน์ หรือราคาพิเศษ
- สร้างคำบรรยายตลอดทั้งคลิปเพื่อให้คนดูคลิปนานขึ้น หากเนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้ชม
- ตัวอย่าง “ลดเหลือ 199.- วันนี้วันเดียว!”หรือ 3 เหตุผลที่คุณต้องดูคลิปนี้ เป็นต้น
4. ถ่ายวิดีโอในแนวตั้ง (9:16)
Reels ถูกออกแบบมาให้แสดงเต็มจอบนมือถือแนวตั้ง ถ้าคุณถ่ายวิดีโอแนวนอนตั้งแต่แรก อาจแสดงผลไม่เต็มจอ และดูไม่น่าสนใจได้ และยังต้องเสียเวลามาครอปขนาดคลิปเพื่อแก้ไขในภายหลัง
- ต้องถ่ายแนวตั้งด้วยเสมอ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าองค์ประกอบในคลิปอยู่ในกรอบพอดี
- Tips ใช้ขาตั้งอุปกรณ์หรือถือให้นิ่ง เพื่อให้คลิปดูมืออาชีพขึ้น จัดองค์ประกอบให้น่าดึงดูด ก็ช่วยได้
5. เล่าเรื่องให้เข้าใจง่าย
ถึงแม้ Reels จะสั้น แต่ถ้ามีโครงเรื่องที่ดี คนจะจำได้และอยากดูจนจบ ตลอดจนถึงสามารถเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้ซื้อหรือมาใช้บริการได้
- เริ่มด้วยฉากที่ดึงดูด → เปิดปม/เนื้อหา → จบด้วยข้อสรุปหรือ CTA แบบง่ายๆ
- ตัวอย่าง เริ่มด้วย “ผิวพังเพราะแดด?” → แนะนำผลิตภัณฑ์ → จบด้วย “ดูผลลัพธ์หลังใช้ใน 7 วัน!” และช่องทางการซื้อสินค้า หากมี
6. ใช้เครื่องมือในแอปให้คุ้ม
Facebook และ Instagram มีเครื่องมือให้ใช้ฟรีเยอะมาก เช่นฟีเจอร์ Align ช่วยให้เปลี่ยนฉากเนียนๆ (เช่น ก่อน-หลังแต่งหน้า)เป็นต้น ลองไปใช้งานและศึกษากันดูได้เลย
- ใช้เครื่องมือปรับความเร็วคลิป เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้ดูสนุกขึ้น
- Tips ลองใช้ Template สำเร็จรูป จะช่วยให้มือใหม่สร้างคลิปเร็วขึ้นด้วย
7. คุณภาพวิดีโอและเสียงต้องดี
คลิปที่ภาพเบลอ หรือเสียงเบา จะทำให้คนไม่อยากดูต่อ แนะนำให้ใช้แสงธรรมชาติหรือไฟเสริมตอนถ่ายเพื่อให้ดูน่าสนใจและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงเสียงรบกวน เช่น เสียงลมหรือเสียงพื้นหลังดังๆ หากไม่สามารถควบคุมได้ลองพิจรณาในการอัดเสียงใหม่เพื่อพากย์ทับ หรือเป็นเสียงบรรยายประกอบ ก็ได้
- อุปกรณ์เสริมแนะนำเช่น ไมค์ติดมือถือ และ ring light ราคาประหยัด ที่หาซื้อได้ทั่วไป
เริ่มด้วยความน่าสนใจ เสียงดี + ภาพชัด + ข้อความเข้าใจง่าย วางเรื่องให้กระชับ ดูจบได้ใน 15–60 วินาที แล้วคุณจะเริ่มเห็นยอดวิวและ Engagement เพิ่มขึ้นแน่นอน

แนวทางการเผยแพร่และโปรโมทคลิป Reels
การทำคลิป Reels ดีๆ อาจจะยังไม่พอ ลองมาดูกันว่าจะมีวิธีโปรโมตให้คลิปของคุณถูกเห็นมากขึ้นยังไงบ้าง ทดลองด้วยเทคนิคต่อไปนี้จะช่วยให้ยอดวิวและ Engagement เพิ่มขึ้นได้ไม่ยาก ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1. ใช้ภาพหน้าปก (Cover) ที่น่าสนใจ – ภาพหน้าปกเป็นสิ่งแรกที่คนเห็น ถ้าไม่น่าสนใจ คนอาจเลื่อนผ่าน เลือกภาพที่สื่อถึงเนื้อหาในคลิป ใส่ข้อความที่ดึงดูด เช่น “เคล็ดลับเพิ่มยอดขายใน 30 วินาที!” ใช้สีสันและดีไซน์ให้น่าคลิก เป็นต้น
2. ใช้แฮชแท็ก # – แฮชแท็กช่วยให้คนที่ไม่ติดตามคุณหาเจอได้ง่ายขึ้น ใช้แฮชแท็กเฉพาะเนื้อหา (#รีวิวคาเฟ่, #แต่งหน้าไปทำงาน) แฮชแท็กที่กำลังเป็นกระแส (#trending, #viralreels) แฮชแท็กวงการ (#ธุรกิจออนไลน์, #แม่ค้าออนไลน์) เป็นต้น
3. ใส่ Call to Action (CTA) – คนดูอาจชอบคลิปคุณ แต่ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อ ดังนั้นคุณควรพูดหรือเขียนในคลิป เช่น “กดไลก์ถ้าเคยเจอแบบนี้”, “กดบันทึกไว้ดูภายหลังนะ”, “อยากได้ Part 2 กดติดตามเลย!”, “คลิกที่ลิงก์ใน Bio เพื่อสั่งซื้อ” แบบนี้เป็นต้น
4. ใส่ลิงก์ไว้ใน Bio แล้วพูดถึง – ถ้าคุณมีเว็บหรือหน้าร้านออนไลน์ การใส่ลิงก์ใน Bio คือจุดสำคัญเพราะคนที่เข้ามาดูโปรไฟล์ของคุณต่อ จะเห็นลิ้งค์ก่อน ดังนั้นควรอัปเดตลิงก์ให้ตรงกับสิ่งที่พูดในคลิป พูดหรือใส่ข้อความในคลิปว่า “ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงก์ใน Bio” เป็นต้น
5. แชร์ Reels ไปช่องทางอื่น – เพราะยิ่งแชร์มาก คนก็ยิ่งมีโอกาสเห็นมากขึ้น ดังนั้นควรแชร์ไปยัง Feed หลักของ IG, แชร์ใน IG Stories พร้อมสติกเกอร์ Call to Action หรืออาจจะส่งให้เพื่อนหรือกลุ่มเป้าหมายผ่าน Direct Message ก็ได้
6. โพสต์ทั้งบน Instagram และ Facebook – คุณจะเข้าถึงผู้ชมกว้างขึ้น เพราะบางคนเล่น IG บางคนเล่น Facebook ใช้ฟีเจอร์แชร์ข้ามแพลตฟอร์มจาก Meta และปรับคำบรรยายให้เหมาะกับทั้งสองที่เล็กน้อย
7. โพสต์ในช่วงเวลาที่คนดูเยอะ – การโพสต์ในเวลาที่ถูกต้อง จะช่วยให้คลิปติดหน้าแนะนำ (Explore / Reels feed) ทดลองโพสต์ช่วงต่างๆ เช่น 11:00, 18:00, 21:00 เช็กสถิติจาก Instagram Insights ดูว่าแฟนเพจคุณออนไลน์เวลาไหนบ้างควบคู่ไปด้วย
หากคุณนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กับการสร้างคลิป Reels อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึง (Reach), การมีส่วนร่วม (Engagement) และแม้กระทั่งสร้างยอดขายได้ในระยะยาวอย่างแน่นอน
Tips – โซเชียลมีเดียคือการสร้างความสัมพันธ์ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมมีความสำคัญไม่แพ้การสร้างคอนเทนต์
- การตอบกลับความคิดเห็นและข้อความจากผู้ชมเป็นการแสดงความใส่ใจและสร้างคอมมูนิตี้ไปในตัว
- User-Generated Content (UGC) หากมีผู้ชมสร้างคลิปที่เกี่ยวข้องกับคุณหรือใช้เสียง/เทคนิคของคุณ ลองแชร์หรือมีส่วนร่วมกับพวกเขา เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อคุณได้สร้างและโปรโมท Reels ออกไปแล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือการติดตามผลและเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะไม่ใช่ทุกคลิปจะประสบความสำเร็จในทันทีไปดูวิธี วัดผล และ ปรับกลยุทธ์ เพื่อให้คอนเทนต์ Reels ของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเดินหน้าสู่เป้าหมายได้
การวัดผลและปรับปรุงคุณภาพ content Reels
การทำ Reels ไม่ใช่แค่การโพสต์คลิปรัวๆ แล้วหวังว่าจะมีสักคลิปที่ดังหรือเป็นไวรัลขึ้นมาเอง เพราะทางที่ดีคือการหมั่นติดตามผล วิเคราะห์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณเข้าใจว่าคอนเทนต์แบบไหนได้ผลจริง มีการสร้างการมีส่วนร่วม และนำไปสู่การเติบโตหรือสร้างรายได้ได้
ขั้นตอน | รายละเอียด | เป้าหมาย | คำแนะนำเพิ่มเติม |
1. ตรวจสอบ Metrics สำคัญ (เช่นทุก 3-7 วันหลังโพสต์) | ดูค่า ยอดวิว, เวลารับชม, อัตราการดูจนจบ, ไลก์, คอมเมนต์, แชร์, บันทึก (Saves) ผ่านเครื่องมือ Insights | รู้ว่า Reels ไหนเวิร์กที่สุด และอะไรดึงดูดผู้ชม | ค่า “ดูจนจบ” และ “Saves” สำคัญมากต่ออัลกอริทึม |
2. วิเคราะห์ Content ที่ปัง | แยก Reels ที่มี Engagement สูงสุด และดูว่ามีอะไรเหมือนกัน เช่น: – หัวข้อ– ความยาวคลิป– เพลงหรือเสียง– เทคนิคตัดต่อ | หาสูตรสำเร็จ ของคุณในช่วงนี้ | ทำ Checklist สั้นๆ ว่าอะไรควรใส่ในคลิปใหม่ |
3. ปรับปรุงแนวทางการทำคอนเทนต์ | ใช้ข้อมูลที่ได้มาปรับรูปแบบ Reels ถัดไป เช่น เพิ่มความยาวให้เหมาะสม, เปลี่ยนจังหวะการพูด, ลองเริ่มด้วย Hook ที่แรงขึ้น | เพิ่มโอกาสให้ Reels ถัดไป ประสบความสำเร็จมากขึ้น | ทำ A/B Testing ได้ เช่น 2 คลิปต่างสไตล์ แล้วดูผล |
4. ทดลองสิ่งใหม่สม่ำเสมอ | อย่าทำแต่แบบเดิม ลอง Challenge ใหม่, มุมกล้องใหม่, หรือการตัดต่อแบบแปลกตา | ค้นหาสไตล์เฉพาะตัว และปรับตามเทรนด์ได้ทัน | ตั้งใจ “ทดลอง” อย่างน้อยเดือนละ 2-3 คลิป |
5. สรุปผลและวางแผน Reels ถัดไป (ทำทุกสัปดาห์ / ทุกเดือน) | รวมข้อมูลเชิงลึก เช่นคลิปไหนเวิร์ก-ไม่เวิร์ก และสรุปว่าเดือนหน้าควรเน้นอะไร | วางแผน Content Calendar ใหม่ให้แม่นยำกว่าเดิม | อาจใช้ Google Sheet หรือ Template Content Planning |
ข้อสังเกตุ – อย่าทำ Reels แบบเดิมซ้ำๆ ลอง A/B Testing บ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเพลง, วิธีเล่าเรื่อง หรือความยาว เก็บข้อมูลทุกสัปดาห์ แล้วใช้วางแผนคอนเทนต์รอบต่อไป เพื่อพัฒนาอย่างมีทิศทางต่อไป
สิ่งที่ไม่ควรทำใน Reels (เพื่อไม่ให้โดนแบนหรือลดการมองเห็น)
การทำ Reels ที่ผิดแนวทางอาจไม่ใช่แค่ทำให้ยอดเข้าชมลดลง แต่ยังส่งผลให้บัญชีของคุณถูกปิด หรือหมดสิทธิ์สร้างรายได้ในอนาคต ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
- คอนเทนต์ผิดกฎชุมชน (Community Guidelines Violation) – เนื้อหารุนแรง, โป๊เปลือย, สร้างความเกลียดชัง, การกลั่นแกล้ง หรือข้อมูลบิดเบือ หากตรวจพบ อัลกอริทึมจะลดการเข้าถึงทันที หรืออาจถูกแบนบัญชี
- คลิปที่มีลายน้ำจากแพลตฟอร์มอื่น – เช่น การนำวิดีโอจาก TikTok ที่มีลายน้ำ มาโพสต์ลง Reels อัลกอริทึม Instagram จะมองว่าเป็น Recycle Content และลดการแสดงผล
- การละเมิดลิขสิทธิ์ – ห้ามใช้เพลง, วิดีโอ หรือรูปภาพของผู้อื่นโดยไม่ได้รับสิทธิ์ เพราะอาจเสี่ยงถูกฟ้องร้องหรือระบบลบคลิปอัตโนมัติ
- คอนเทนต์คุณภาพต่ำหรือขาดความคิดสร้างสรรค์ – เช่น การรวมภาพนิ่งหลายๆ ภาพ, คลิปวนซ้ำ, หรือแค่ตัดต่อข้อความล้วนๆ คนดูจะเลื่อนผ่านเร็วมาก และอัลกอริทึมจะไม่แนะนำคอนเทนต์แนวนี้ให้อีกเลย
- โฆษณาฝังจากแพลตฟอร์มอื่น – เช่น แอบแฝงลิงก์ขายของหรือแปะโฆษณาจากช่องทางอื่นโดยตรง เสี่ยงถูกมองว่าเป็น Spam และไม่เหมาะสำหรับ Creator Monetization และการสร้างรายได้
ดังนั้นคุณควรมีแนวทางการสร้างที่ไม่ขัดต่อกฎโดยตรง ทำคอนเทนต์แบบ Original เสมอ อย่า Copy โดยไม่ปรับให้เป็นของตัวเอง ตรวจสอบแนวทาง Community Guidelines ทุกครั้งก่อนโพสต์เสมอมุ่งเน้นในการใช้เครื่องมือในแอป Reels ให้มากที่สุด เช่น เพลงในระบบ, เอฟเฟกต์, หรือฟีเจอร์ตัดต่อ เพื่อง่ายต่อการสร้างและไม่ละเมิดกฎอย่างแน่นอน
สรุป
วิดีโอสั้นคือรูปแบบคอนเทนต์ที่ครองใจผู้ใช้งานทั่วโลก Facebook และ Instagram Reels กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้ทั้งครีเอเตอร์และธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการสร้างรายได้จากหลากหลายโปรแกรมภายใต้แพลตฟอร์ม Meta
Reels ไม่ได้อยู่ที่การรอว่า มียอดดูกี่วิวถึงจะได้เงิน แต่เป็นการสร้างสรรค์คลิปคุณภาพสูงที่เข้าใจผู้ชม, วางแผนคอนเทนต์อย่างรอบคอบ, ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ ที่แพลตฟอร์มมีให้, โปรโมทและเผยแพร่ให้เข้าถึงผู้คนให้มากที่สุด, มีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนของคุณ, และไม่หยุดที่จะวัดผล, เรียนรู้, และปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอยู่เสมอ
หากคุณพร้อมแล้วที่จะก้าวเข้ามาใช้ประโยชน์จากกระแสวิดีโอสั้นนี้ เริ่มต้นวางแผน, ลงมือสร้างสรรค์ คลิป Reels แรกของคุณ, และเปิดรับโอกาสในการ สร้างรายได้จาก Reels ที่กำลังรอคุณอยู่บนแพลตฟอร์ม Meta ได้เลย
FAQ คำถามที่เกี่ยวข้อง
- Reels Facebook ต้องมีกี่วิวถึงจะได้เงิน?
- แพลตฟอร์มจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น จำนวนการรับชม, การมีส่วนร่วม, คุณภาพของคอนเทนต์ และการเข้าร่วมโปรแกรมสร้างรายได้ เช่น Bonus Program หรือ Ads on Reels
- จะรู้ได้อย่างไรว่าบัญชีของเราสามารถสร้างรายได้จาก Reels ได้หรือไม่?
- คุณสามารถตรวจสอบได้จากหน้า Professional Dashboard หรือ Creator Studio หากบัญชีมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ Meta จะส่งคำเชิญหรือแจ้งเตือนให้เข้าร่วมโปรแกรม
- คอนเทนต์แบบไหนที่เหมาะกับ Reels และช่วยเพิ่มยอดเข้าชม?
- คอนเทนต์ที่ให้สาระหรือความบันเทิงในระยะเวลาอันสั้น เช่น เบื้องหลังธุรกิจ, เคล็ดลับสั้น ๆ, วิธีใช้สินค้า, หรือคอนเทนต์ไวรัลที่กระตุ้นการแชร์และคอมเมนต์
- การใส่เพลง, ฟิลเตอร์ หรือเอฟเฟกต์ช่วยให้ Reels ปังขึ้นจริงไหม?
- การใช้เพลงยอดนิยมหรือเอฟเฟกต์ที่เป็นเทรนด์ช่วยให้ Reels มีโอกาสแสดงบนหน้าค้นหาหรือ Explore มากขึ้น และดึงดูดความสนใจในช่วง 3 วินาทีแรกได้ดีกว่า
อ้างอิง –
- https://about.instagram.com/blog/announcements/introducing-instagram-reels-announcement
- https://help.instagram.com/1759689231078879/?helpref=related_articles
- https://help.instagram.com/183392733628561