GEO vs SEO เมื่อ Generative AI ได้เข้ามาเปลี่ยนการค้นหาแบบเดิมที่เราคุ้นเคยมานาน หากคุณยังคงทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับกลยุทธ์ SEO แบบเดิม เส้นทางนี้อาจให้ผลตอบแทนน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรูปแข่งขันได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่แค่การอัปเดตอัลกอริทึมเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือการเปลี่ยนรูปแบบการค้นหาครั้งสำคัญ จากที่เน้นเพียงรายการผลลัพธ์เท่านั้น
บทความนี้ RGA จะพาคุณเจาะลึกการทำ GEO vs SEO โดยถอดรหัสจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำความเข้าใจความแตกต่างจริงๆ ระหว่าง SEO และ GEO ชวนไปสำรวจกันว่าทำไมแนวคิดเพื่อการคลิก ถึงกำลังถูกท้าทายด้วย ผลลัพธ์การถูกอ้างอิง และทำไมนักการตลาดที่ปรับตัวได้ก่อนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะในเกมการค้นหายุคใหม่นี้
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาด เจ้าของธุรกิจ หรือผู้ที่สนใจในเทคโนโลยี ได้เข้าใจถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของตนเอง เพื่อให้แบรนด์ยังคงสามารถถูกค้นพบและสร้างอิทธิพลได้ในยุคที่ AI กลายเป็นข้อมูลการค้นหาแรกของผู้คน รวมทั้งนำไปต่อยอดและวางแผนกลยุทธ์ในอนาคตได้จริง

Generative AI ทำให้ พฤติกรรมการค้นหาเปลี่ยนไป?
Generative AI (Gen AI) ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำ SEO อย่างมากทั้งส่วนของการสร้างเนื้อหา และเส้นทางของลูกค้า “Customer journey” ไปอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2023 เป็นต้นมา ทาง google search มีการเปิดตัว AI Overviews และตามมาด้วยการอัปเดตอัลกอริทึมและสแปม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำ SEO แบบเดิมทั้งทางตรงและทางอ้อม ตามมาด้วยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ ChatGPT Search และล่าสุด Google AI Mode ก็ได้เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้แนวคิด GEO (Generative Engine Optimization) เกิดขึ้นเพื่อตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้ (GEO) หรือบางครั้งเรียกว่า AEO (Answer Engine Optimization) ซึ่งหมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพเอนทิตีหรือแบรนด์เพื่อให้มองเห็นได้ในผลลัพธ์ของ Gen AI นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง SEO VS GEO
การทำ SEO ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์บนผลการค้นหาแบบดั้งเดิม เช่น Google หรือ Bing โดยใช้การเลือกคำหลัก keywords การสร้างเนื้อหาคุณภาพ และการลิงก์ย้อนกลับ Backlink
ในขณะเดียวกัน GEO เป็นแนวคิดใหม่ที่มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาเพื่อให้ปรากฏในผลลัพธ์ที่เครื่องมือค้นหาจาก AI (เช่น Google SGE, BingChat, ChatGPT) ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างคำตอบที่เหมือนการแชทสนทนากับคนจริงๆ
GEO คือการเพิ่มโอกาสให้แบรนด์หรือเว็บไซต์ของคุณถูกอ้างอิงในคำตอบที่ AI สร้างขึ้น การปรับกลยุทธ์ให้ครอบคลุมทั้ง SEO และ GEO จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เนื้อหายังคงโดดเด่นในการค้นหาแบบเดิมและแบบใหม่ไปพร้อมกัน

วัตถุประสงค์ ระหว่าง GEO และ SEO
- SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณบนเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิม เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เพื่อสร้างทราฟิกแบบออร์แกนิก โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้เว็บไซต์หรือหน้าเว็บของคุณติดอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs)
- GEO (Generative Engine Optimization) เป็นกลยุทธ์ที่ใหม่กว่า ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาสำหรับการรวมและความแม่นยำในการตอบสนองของเครื่องมือ AI (AI-powered generative engine responses) เช่น ChatGPT, Bard, Perplexity หรือ Google AI Overviews วัตถุประสงค์คือเพื่อให้เนื้อหาของคุณได้รับการ อ้างอิง และนำเสนอในการตอบสนองที่สร้างโดย AI กับผู้ใช้
วิธีการจัดอันดับของ GEO และ SEO
- SEO ทำงานผ่านกระบวนการสามขั้นตอน คือ การรวบรวมข้อมูล (Crawling), การจัดทำดัชนี (Indexing) และการจัดอันดับ (Ranking) เครื่องมือค้นหาจะใช้บอตในการค้นหาเนื้อหา และจัดเก็บในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จากนั้นจะจัดอันดับเนื้อหาตามปัจจัยต่างๆ เช่น ความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ด, คุณภาพและปริมาณของ Backlink, สัญญาณประสบการณ์ผู้ใช้ และคุณภาพของเนื้อหา
- GEO ทำงานโดยระบบ AI ที่จะดูดซับเรียนรู้เนื้อหาบนเว็บอย่างต่อเนื่อง (Content Ingestion) แยกข้อมูลสำคัญ (Knowledge Extraction) ประเมินความเกี่ยวข้อง (Relevance Assessment) และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างการตอบสนอง (Response Generation) โดยอาจอ้างอิงเนื้อหาของคุณหากเนื้อหานั้นมีข้อความที่ชัดเจน มีโครงสร้างที่แยกได้ง่าย ข้อมูลเชิงลึกที่ไม่ซ้ำใคร หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะในหัวข้อนั้นๆ
การให้ความสำคัญของ GEO และ SEO
จุดเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพ
- จุดเน้น SEO เน้นที่คีย์เวิร์ด, Backlink และการปรับแต่งทางเทคนิคของเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการวิจัยและใช้คำที่ผู้คนค้นหา, การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง และการเขียนบทความที่มีคุณภาพ
- จุดเน้น GEO เน้นที่โครงสร้างเนื้อหา, ความชัดเจนของข้อมูล (Clarity), การจัดระเบียบเนื้อหาให้มีหัวข้อ, รายการ และประเด็นที่กระชับเพื่อให้ AI ตีความได้ง่าย, และการแสดงอำนาจ (Authority) โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีแหล่งที่มา GEO ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพภาษาธรรมชาติและการจัดรูปแบบคำตอบโดยตรง
พฤติกรรมผู้ใช้และแหล่งที่มาของทราฟิก
การทำ SEO – ผู้ใช้จะคลิกผ่านไปยังเว็บไซต์โดยตรงจากผลการค้นหา โดยอัตราการคลิกผ่านจาก Google organic search อยู่ที่ประมาณ 8.5% และสูงสุดถึง 40% สำหรับอันดับหนึ่ง
การทำ GEO – ผู้ใช้จะบริโภคข้อมูลโดยตรงในคำตอบของ AI และจะเห็นการอ้างอิงและการอ้างถึงเนื้อหาของคุณในคำตอบของ AI ในสภาพแวดล้อมแชทบอท พฤติกรรมของผู้ใช้จะถูกจำกัด และ CTR ลดลงเหลือไม่ถึง 1% ดังนั้น GEO จึงส่งทราฟิกที่อ้างอิงน้อยกว่า
ความคล้ายคลึงและวิธีที่ GEO และ SEO ทำงานร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่าง แต่ GEO และ SEO ไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นกลยุทธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน กลยุทธ์ดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการใช้ประโยชน์จากทั้งสองเพื่อให้มีสถานะที่ครอบคลุมในทุกช่องทางการดึงข้อมูล
ตารางเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้ใช้ SEO vs GEO

จากตารางต้องเขียน content แบบตอบคำถาม ไม่ใช่แค่จัดคีย์เวิร์ด ใช้ FAQ, How-to, และเนื้อหาที่ contextual สร้าง Entity และ Topical Authority เพื่อให้ AI มั่นใจว่าเป็นแหล่งอ้างอิง รวมทั้งการทำ Content ที่ รองรับ Zero-click outcome เช่น mention brand, ใส่ unique insights ที่ AI จะหยิบไปอ้างอิงในคำตอบ
กลยุทธ์การทำ SEO และ GEO ร่วมกัน
แม้ SEO กับ GEO จะใช้วิธีการแตกต่างกันบ้าง แต่หลักการพื้นฐานหลายอย่างเหมือนกัน เช่น ทั้งสองให้ความสำคัญกับคุณภาพเนื้อหาตามหลัก (E-E-A-T) การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงผลงาน การผสานกลยุทธ์ SEO และ GEO จึงทำได้ด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
- วางแผนเนื้อหาแบบรวม สร้างเนื้อหาที่สามารถถูกค้นพบ ได้ดีทั้งบนเสิร์ชเอนจิ้นดั้งเดิมและบนแพลตฟอร์ม AI โดยเน้นเนื้อหามีคุณภาพ ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง ตามหลัก E-E-A-T
- การวิจัยคีย์เวิร์ดเชิงบริบท ทำการค้นหาคีย์เวิร์ดและประเด็นที่ครอบคลุมทั้งคำค้นปกติและคำค้นในรูปแบบสนทนา (long-tail หรือประโยคธรรมชาติ) ควรรวมคำถามภาษามนุษย์ ที่ผู้ใช้อาจถาม AI ด้วย เพื่อให้เนื้อหาครอบคลุมบริบทที่หลากหลาย
- ปรับปรุงเทคนิคเว็บไซต์ ตรวจสอบให้เว็บไซต์มีพื้นฐานทางเทคนิคแข็งแรง (load speed, การออกแบบตอบโจทย์มือถือ, ไม่มีบั๊ก) และใช้ structured data ให้เหมาะสม การมีโครงสร้างข้อมูลที่ดีจะช่วยทั้งให้ Google แสดง rich snippets และช่วยให้ AI สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- เรียนรู้และปรับตัวต่อเนื่อง ติดตามความเคลื่อนไหวของอัลกอริธึ่มทั้ง SEO และเทคโนโลยี AI อยู่เสมอ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตาม เนื้อหาที่ดีควรผ่านการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ (fresh content) เพื่อแสดงถึงความน่าเชื่อถือและความทันสมัย
- ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล: นำข้อมูลจากการวิเคราะห์ SEO แบบเดิม (เช่น พฤติกรรมผู้ใช้ในเว็บไซต์) มารวมกับข้อมูลจากเครื่องมือวัดผลฝั่ง AI ใหม่ๆ (เช่น จำนวนครั้งที่เนื้อหาของคุณถูกอ้างอิงใน AI) เพื่อปรับปรุงแผนการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้กลยุทธ์ทั้ง SEO และ GEO ร่วมกันจะช่วยสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด SEO ทำให้เนื้อหาคุณสามารถค้นหาเจอได้ง่าย เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใช้คลิกเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ ส่วน GEO จะช่วยใหเนื้อหาของคุณ ปรากฏในคำตอบที่ AI สร้าง ซึ่งมักเป็นคำตอบที่ละเอียดและตรงประเด็นเมื่อผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้จากแบรนด์ของคุณ ทั้งสองด้านนี้จะช่วยดึงดูดและรักษาความสนใจของผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
SEO และ GEO ต่างมีบทบาทสำคัญในยุคการตลาดดิจิทัลที่เปลี่ยนไป การทำ SEO อย่างเดียวในโลกที่ AI กำลังมาแรงอาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญในการเข้าถึงผู้ใช้ที่เปลี่ยนไปค้นหาบนแพลตฟอร์ม AI ดังนั้นจึงควรถือว่า SEO + GEO เป็นกลยุทธ์ร่วมกัน (ไม่ใช่เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง)
หลักการพื้นฐาน เช่น เนื้อหาคุณภาพสูงและการสร้างความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T) ยังคงใช้ได้ทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม การปรับเนื้อหาให้รองรับเทคโนโลยี AI (เช่น เพิ่มการอ้างอิงหรือรูปแบบข้อมูลที่เครื่องมือ AI ชื่นชอบ) จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตต่อไปได้แม้ตลาดค้นหาจะเปลี่ยนไปในอนาคต
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- GEO จะมาแทนที่ SEO ไหม?
ไม่ใช่การทดแทน แต่เป็นการเสริมกัน SEO ยังคงมีความสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนผลการค้นหาแบบเดิม ส่วน GEO จะช่วยให้แบรนด์คุณปรากฏในคำตอบของ AI ทั้งสองจึงควรทำควบคู่กันไป - ต้องใช้เครื่องมือใหม่ๆ สำหรับ GEO หรือไม่?
เครื่องมือ SEO แบบเดิม (เช่น SEMrush, Ahrefs) ยังมีประโยชน์ในการค้นหาคีย์เวิร์ด และวิเคราะห์คู่แข่ง แต่ควรเสริมด้วยการวิจัยวลีคำถามตามธรรมชาติที่ผู้ใช้ถาม AI จากฟีเจอร์ “People also ask” หรือเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ prompt เพื่อให้เข้าใจรูปแบบภาษาและโครงสร้างที่โมเดล AI ให้ความสำคัญ - จะวัดผลกลยุทธ์ GEO อย่างไร?
นอกจากติดตามจำนวนผู้เข้าชมและโอกาสทางธุรกิจ (leads) แบบ SEO เดิมแล้ว ควรดูด้วยว่าเนื้อหาของคุณถูก อ้างอิงหรือปรากฏในคำตอบของ AI บ่อยแค่ไหน ในปัจจุบันอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ เช่น ScrunchAI เพื่อช่วยติดตามผลการถูก “citation” จากโมเดล AI เพราะ AI ยังไม่เปิดเผยดัชนีเหมือน SEO - เราควรเริ่มต้นทำ GEO ตรงไหนก่อน?
ควรเริ่มจากการปรับปรุงเนื้อหาที่มีอยู่ให้เป็นไปตามหลัก E-E-A-T อย่างเข้มแข็ง เช่น เพิ่มข้อมูลสถิติ การอ้างอิงแหล่งที่มา และเขียนใหเข้าใจง่ายที่สุด จากนั้นควรตรวจสอบโครงสร้างเว็บไซต์ว่าพร้อมสำหรับการประมวลผลของ AI (เช่น มี schema markup ที่ถูกต้อง) และติดตามแนวโน้มของโมเดล AI ที่เกี่ยวข้องเพื่ออัปเดตกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง