GEO คืออะไร? – ทุกวันนี้คุณอาจสังเกตเห็นได้ว่าหน้าผลการค้นหาของ search engine เช่น Google search ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป บางครั้งจะเห็นคำตอบแสดงขึ้นมาทันทีในส่วนแรกที่ขึ้นว่า AI Overviews โดยที่เราไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ไหนเลย หรือบางทีเราอาจหันไปถามคำถามที่ซับซ้อนกับ ChatGPT, Perplexity หรือ Gemini แทนการค้นหาแบบเดิมๆ พฤติกรรมการค้นหาใหม่นี้คือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีมานี้ และมันทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า แล้วกลยุทธ์ SEO ที่เราทำมาจะยังได้ผลอยู่หรือไม่? คำตอบอยู่ในสิ่งใหม่ที่เรียกว่า Generative Engine Optimization (GEO)
บทความนี้ทาง RGA มีเป้าหมายเพื่อให้คุณได้เข้าใจการทำ GEO มากขึ้นและครอบคลุมที่สุดโดยเราจะพาไปสำรวจตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน ความแตกต่างและจุดร่วมกับ บริการ SEO แบบเดิม ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับ หลักการทำงานเบื้องหลังของ AI และที่สำคัญที่สุดคือ แผนปฏิบัติการ Action Plan ของ GEO ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลักในอนาคต
Table of Content
- GEO คืออะไร?
- ความแตกต่างระหว่าง GEO กับ SEO
- ทำไม GEO จึงสำคัญ?
- การทำงานของ Generative AI / Answer Engines
- 7 step GEO Action Plan
- การวัดผลในกลยุทธ์การทำ GEO
- ศักยภาพและแนวโน้มของ GEO ในอนาคต
- บทสรุป
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
GEO คืออะไร?

Generative Engine Optimization หรือ GEO คือกลยุทธ์การสร้างและปรับแต่งเนื้อหาดิจิทัลในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ บล็อก วิดีโอ หรือโซเชียลมีเดีย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เนื้อหาของเราถูกมองเห็นและถูกเลือกใช้เป็น แหล่งข้อมูลหลัก (Primary Source) ในการสร้างคำตอบโดยเครื่องมือ Generative AI (GEs) เช่น Google AI Overviews, ChatGPT, Gemini, หรือ Perplexity AI
พูดง่ายๆ คือ แทนที่จะตั้งเป้าหมายให้เว็บไซต์ติดอันดับ เพื่อให้มีคนคลิกเข้ามา กลับกันเป้าหมายของ GEO คือการทำให้แบรนด์หรือข้อมูลของเรา กลายเป็นคำตอบที่ AI สร้างและนำเสนอต่อผู้ใช้โดยตรงนั่นเอง
ข้อมูลจาก search engine land ชี้ให้เห็นว่าการใช้ AI ในการค้นหาข้อมูลกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ChatGPT ที่มีผู้ใช้รายสัปดาห์กว่า 400 ล้านคน และ Google AI Overviews ที่มีการค้นหาหลายพันล้านครั้งต่อเดือน มีการคาดการณ์ว่าการเข้าชมจาก LLM นี้จะแซงหน้าการค้นหาแบบดั้งเดิมของ Google ภายในสิ้นปี 2027 และปริมาณการค้นหาแบบเดิมอาจลดลงถึง 25% ภายในปี 2026 ที่จะถึงนี้

กลายเป็นว่าการทำ SEO แบบเดิมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ธุรกิจที่ปรับตัวโดยใช้ GEO จะมีโอกาสเพิ่มช่องทางการมองเห็นและเป็นผู้นำในการแข่งขันได้ก่อนนั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง GEO กับ SEO
GEO และ SEO มีวัตถุประสงค์ร่วมกันหลายอย่าง ส่วนของ GEO จะเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่ช่วยให้ผลการค้นหาผ่าน AI ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ส่วน SEO แบบเดิมเน้นที่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Search Engine ทั่วไป เช่น Google หลายคนอาจสงสัยว่า GEO จะเข้ามาแทนที่ SEO หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ใช่แต่ GEO คือการต่อยอดจากรากฐานของ SEO มีความสำคัญและควรทำงานร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ลองดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง GEO กับ SEO ดังนี้
SEO (Search Engine Optimization) | GEO (Generative Engine Optimization) | |
เป้าหมายหลัก | ทำให้เว็บไซต์ติด อันดับ สูงใน SERP เพื่อดึงดูดผู้ใช้ผ่านการ Click | ทำให้เนื้อหาถูกนำไปใช้เป็น คำตอบ โดย AI เพื่อสร้าง Brand Mention และ Authority |
ผลลัพธ์ | อันดับ keyword/ Traffic/ Conversion Rate | การถูกอ้างอิง/ Visibility ใน AI/ Market Share of Voice |
รูปแบบเนื้อหา | เน้นหน้าเว็บที่เป็นข้อความ/ บทความยาว/ Backlinks | ต้องการเนื้อหาหลากหลาย เช่น วิดีโอ Podcast รูปภาพ Infographic การตอบกระทู้ หรือคำถามผู้ใช้ |
กลยุทธ์คำหลัก | เน้น Keyword Research/ ความสอดคล้องของบริบทเนื้อหา Site N-gram | เน้นคำถาม (Long-tail questions) บริบท การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ Conversational |
ผู้ใช้งาน | ผู้ใช้ที่ต้องการรายการหรือตัวเลือก เพื่อค้นหาข้อมูลต่อไป | สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ คำตอบที่สมบูรณ์ ในทันที |
การทำ SEO ที่ดี เช่น การปรับปรุง Technical SEO หรือการสร้างเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T ถือเป็นรากฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ GEO ในทางกลับกัน เนื้อหาคุณภาพสูงที่สร้างขึ้นสำหรับ GEO ก็มักจะส่งผลดีต่ออันดับ SEO แบบเดิมเช่นกันเจาะลึกเพิ่มเติมได้ที่บทความ GEO vs. SEO เปรียบเทียบความแตกต่างและกลยุทธ์การทำงานร่วมกัน

ทำไม GEO จึงสำคัญ?
การปรับตัวเข้าสู่การทำ GEO ไม่ใช่แค่เรื่องของเทรนด์ แต่เป็นความจำเป็นต่อการเติบโตในอนาคต Gartner คาดการณ์ว่าปริมาณการค้นหาแบบดั้งเดิมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 25% ภายในปี 2026 นอกจากนี้ ยังคาดว่าทราฟฟิกจากการค้นหาทั่วไป หรือ organic search traffic จะลดลงมากกว่า 50% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใช้การค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้น
การทำ SEO แบบเดิมอาจไม่พอแล้ว?
การทำ SEO แบบเดิมจะเน้นที่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา การแข่งขันด้านการตลาดออนไลน์ที่ดุเดือดทำให้การทำ SEO เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การมุ่งเน้นทำ GEO จะเข้ามาช่วยเสริมโดยมุ่งเน้นที่การทำให้เนื้อหาถูกจัดลำดับให้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในผลลัพธ์ที่สร้างจาก Generative AI และช่วยให้แบรนด์ของคุณได้รับการอ้างอิงและแสดงผลในคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมานั่นเอง
การทำ GEO มีประโยชน์ด้านไหนบ้าง?
มี 6 ด้านดังนี้
- เพิ่มการเข้าถึง (Increased Reach) และการมองเห็น (Visibility) – เพราะเมื่อ Generative AI เลือกนำเนื้อหาของคุณไปแสดงผล จะช่วยเพิ่มการมองเห็นได้มากขึ้นกว่าการใช้เพียงเครื่องมือค้นหาแบบเดิม
- สร้างความน่าเชื่อถือ (Authority & Trust) – การถูก AI ชั้นนำอ้างอิง เป็นการการันตีคุณภาพและความเชี่ยวชาญของแบรนด์คุณทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก
- เป็น Top-of-Mind Brand – เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลในกลุ่มธุรกิจของคุณ แบรนด์ของคุณจะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ นับว่าเป็นการสร้างการรับรู้และความคุ้นเคยต่อแบรนด์ไปอีกระดับ
- เพิ่มประสิทธิภาพให้ SEO – เนื้อหาที่ตอบโจทย์ GEO ได้ดี มักเป็นเนื้อหาคุณภาพสูงที่ Google ชื่นชอบและช่วยให้อันดับ SEO ดีขึ้นด้วย
- สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน – การเริ่มต้นทำ GEO ก่อนคู่แข่ง ทำให้คุณกลายเป็นผู้นำในช่องทางการค้นหาแห่งอนาคต
- เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต (Future-Proofing) – สร้างกลยุทธ์การตลาดที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอ
GEO กลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณยังคงโดดเด่นและเป็นที่รู้จักในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการค้นหาข้อมูล และเป็นก้าวใหม่ของการตลาดออนไลน์ที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม
อ่านแบบเจาะลึก 9 ประโยชน์ของการทำ GEO ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้ามในปี 2025

ข้อสังเกตุของ GEO
Zero-Click Search ในบริบทของ GEO คือการที่ผู้ใช้ได้รับคำตอบโดยตรงจากเครื่องมือค้นหาหรือ AI โดยไม่ต้องคลิกผ่านไปยังเว็บไซต์ใดๆ
- แต่เดิม ผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO จะให้ความสำคัญกับการวิจัยคีย์เวิร์ด การสร้างเนื้อหาคุณภาพ การสร้าง Backlink และการติดตาม Traffic จาก Google
- แต่ปัจจุบัน AI ไม่ได้ค้นหาเว็บเหมือนมนุษย์ ผู้ใช้หลายล้านคนได้รับคำตอบทันทีจากแพลตฟอร์มอย่าง ChatGPT, Perplexity หรือ Google’s SGE ซึ่งเป็นการข้ามเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างดีของคุณโดยตรงทำให้ traffic ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
“การค้นหาแบบ Zero-Click Search กำลังลด Organic Traffic ลง“
แต่แบรนด์ยังคงถูกค้นพบได้ผ่าน AI result ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องเน้น การจัดโครงสร้างเนื้อหาด้วยหัวข้อและประเด็นที่กระชับเพื่อให้ AI ดึงข้อมูลได้ง่าย, และการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องพร้อมแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ
การทำงานของ Generative AI / Answer Engines
การทำงานของ Generative AI / Answer Engines นั้นแตกต่างจากเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิม โดยเครื่องมือเหล่านี้จะสังเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างคำตอบที่กระชับและครอบคลุมต่อคำถามของผู้ใช้งาน พวกเขาใช้โมเดล Machine Learning ขั้นสูงที่สามารถเข้าใจและประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อให้ได้คำตอบที่เกี่ยวข้องและมีบริบทที่สมบูรณ์มากที่สุด
เพื่อให้เราสามารถปรับแต่งเนื้อหาให้ AI ชอบได้ เราต้องเข้าใจกระบวนการทำงานของมันแบบง่ายๆ ก่อน
กระบวนการทำงานของ Generative AI / Answer Engines มี 3 ข้อหลักดังนี้
- การรวบรวมข้อมูล (Data Crawling)
AI ไม่ได้ดูข้อมูลจาก Google Search เพียงอย่างเดียว แต่รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลายมหาศาลทั่วทั้งอินเทอร์เน็ต เช่น ฟอรัม (Reddit, Quora) วิดีโอ (YouTube) โซเชียลมีเดีย เอกสารวิชาการ และเว็บไซต์ต่างๆ
- การทำความเข้าใจ (LLMs Processing)
โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models) จะประมวลผลข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อทำความเข้าใจ “บริบท” และ “ความสัมพันธ์” ของข้อมูล ไม่ใช่แค่จดจำคำหลัก
- การประเมินและสร้างคำตอบ (Evaluation & Generation)
เมื่อมีคำถามเข้ามา AI จะประเมินแหล่งข้อมูลทั้งหมดโดยใช้ปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือ E-E-A-T / ความสดใหม่, ความตรงประเด็น จากนั้นจึงสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่ดีที่สุดออกมาเป็นคำตอบที่สอดคล้องกันการทำความเข้าใจกระบวนการนี้จะช่วยให้ผู้สร้างเนื้อหาสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของ AI ทำให้มั่นใจว่าเนื้อหาของเราจะถูกสังเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพและติดอันดับสูงในผลลัพธ์ที่สร้างโดย AI อ่านต่อได้ที่บทความ เจาะลึก Generative Engine รวบรวมข้อมูลยังไง?
กลยุทธ์ 7 step GEO Action Plan
การทำ GEO ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินไปหากเรามีแผนการที่ชัดเจน นี่คือภาพรวม 7 ขั้นตอนสำคัญที่คุณสามารถเริ่มต้นได้
เพียงเข้าใจหลักการและปรับเนื้อหาให้เหมาะกับการประมวลผลของ AI คุณก็สามารถเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ถูกแนะนำได้มากขึ้น และเมื่อทำควบคู่กับ SEO ผลลัพธ์จะยิ่งขยายทั้งบน Search Engine และ Generative AI พร้อมกัน
- ทำ SEO ขั้นพื้นฐานให้แข็งแกร่ง (Nail the Basics of SEO)
GEO ที่ดีโดยทั่วไปแล้วก็คือ SEO ที่ดี สิ่งสำคัญคือต้องทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการอ่านสำหรับบอท (Crawlable and indexable) โหลดเร็วและเป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Fast and mobile-friendly) ปลอดภัย (HTTPS) และใช้ Server-side rendering เพื่อช่วยให้ AI crawlers เข้าถึงได้ง่าย
– นอกจากนี้ ต้องแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T) โดยการแบ่งปันประสบการณ์จริง (Experience) ความเชี่ยวชาญ (Expertise) อำนาจ (Authority) และความน่าเชื่อถือ (Trust) ในหัวข้อที่คุณทราบอย่างแท้จริง เพราะAI มีแนวโน้มที่จะเลือกอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญนั่นเอง
- สร้างการกล่าวถึงและการอ้างอิงร่วม (Build Mentions and Co-Citations)
ระบบ AI ไม่เพียงดูแค่ Backlink เพื่อวัดระดับความน่าเชื่อถือและอำนาจของคุณ DA แต่ยังให้ความสนใจกับการกล่าวถึงแบรนด์ของคุณทั่วทั้งเว็บในระบบฐานข้อมูล แม้ว่าจะไม่มีลิงก์ที่คลิกได้ก็ตาม คุณควรตรวจสอบการกล่าวถึงแบรนด์ของคุณในปัจจุบันบน Google โซเชียลมีเดีย และฟอรัมต่างๆ และลองถามเครื่องมือ AI เองว่ารู้จักแบรนด์ของคุณหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน
– ควรสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพต่อไป และตั้งเป้าที่จะสร้าง Co-citations และ Co-occurrences ซึ่งเป็นการที่แบรนด์หรือเว็บไซต์ของคุณถูกกล่าวถึงควบคู่ไปกับเว็บไซต์อื่นหรือหัวข้อ/แนวคิดที่เกี่ยวข้อง การมีส่วนร่วมในแบบสำรวจ การอ้างถึง และชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องก็ช่วยได้เช่นกัน ยิ่งแบรนด์ของคุณถูกกล่าวถึงในบริบทที่เกี่ยวข้องบนเว็บไซต์ต่าง ๆ มากเท่าไหร่ AI ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะรวมคุณไว้ในคำตอบมากขึ้น
- กระจายเนื้อหาไปยังหลายแพลตฟอร์ม (Go Multi-Platform)
การขยายตัวนอกเหนือจาก Google เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุค AI แพลตฟอร์มอย่าง Reddit, YouTube, TikTok, Instagram Reels และ LinkedIn มักปรากฏในผลลัพธ์ของ AI
– การมีตัวตนที่แข็งแกร่งบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เพิ่มการมองเห็นของแบรนด์ และลดการพึ่งพาอัลกอริทึมใดอัลกอริทึมหนึ่ง ควรสร้างเนื้อหาที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น วิดีโอสอนการใช้งานบน YouTube, พอดแคสต์สำหรับผู้ที่ชอบฟัง, หรือวิดีโอสั้นบน TikTok/Instagram Reels และมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์เช่น Reddit และ LinkedIn ด้วยการให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ รวมถึงการสนับสนุนให้เกิด User-Generated Content (UGC)
- ค้นหาว่าแพลตฟอร์ม AI อ้างอิงอะไรในเฉพาะกลุ่มของคุณ (Find Out What AI Platforms Are Citing for Your Niche)
ทำการทดสอบโดยตรงว่าเนื้อหาของคุณปรากฏในเครื่องมือ AI อย่างไร โดยถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ สังเกตแหล่งที่มาที่เครื่องมือ AI อ้างถึง เช่น คู่แข่ง, แพลตฟอร์มที่มักถูกอ้างถึงและความรู้สึกของการกล่าวถึงเป็นยังไง
– การลองใช้คำถามที่แตกต่างกันและเครื่องมือ AI ที่หลากหลายจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น สำหรับข้อมูลที่ครอบคลุมมากขึ้น สามารถใช้ เครื่องมือติดตาม LLM (LLM Tracking Tools) เช่น Semrush AIO หรือ Ziptie.dev เพื่อติดตามการมองเห็นแบรนด์ของคุณเทียบกับคู่แข่ง
- ตอบคำถามของกลุ่มเป้าหมายของคุณ (Answer Your Audience’s Questions)
วิธีการค้นหาด้วย AI Tools แตกต่างจากการค้นหาบน Google แบบดั้งเดิมอย่างมาก เพราะผู้ใช้มักใช้ภาษาแบบสนทนาและคำถามที่ยาวขึ้น คำถามที่ยาวและเฉพาะเจาะจงเหล่านี้เป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ได้สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามรายละเอียดเหล่านี้
– คุณควร ฟังคำถามจริง ๆ ที่ลูกค้าของคุณถาม จากการสนับสนุนลูกค้า การโทรศัพท์ขาย หรือความคิดเห็นของผู้ใช้ นอกจากนี้ แพลตฟอร์มชุมชนเช่น Reddit, Quora, และฟอรัมเฉพาะอุตสาหกรรมก็เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีในการค้นหาคำถามสนทนาเหล่านี้
- จัดโครงสร้างเนื้อหาสำหรับ Generative Engines (Structure Your Content for Generative Engines)
AI Systems ประมวลผลข้อมูลแตกต่างจากมนุษย์ โดยจะแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนเหล่านั้น ดังนั้น วิธีการจัดโครงสร้างเนื้อหาจึงส่งผลโดยตรงต่อการที่ AI จะเข้าใจและอ้างอิงเนื้อหาของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ
Structure for Generative Engines
- ควรมี หนึ่งแนวคิดต่อหนึ่งย่อหน้า (One Idea per Paragraph) และจัดวางจุดสำคัญไว้ตั้งแต่ต้น
- ใช้ หัวข้อที่ชัดเจน (Clear Headings) เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นระบบ
- แบ่งหัวข้อที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนที่เข้าใจง่าย (Break Up Complex Topics into Digestible Sections) ใช้ขั้นตอนที่นับได้ และบทสรุปที่กระชับ
- รวมคำพูดและข้อความที่ชัดเจน (Include Quotes and Clear Statements) เนื่องจากหน้าที่มีคำพูดหรือสถิติแสดงให้เห็นว่ามีการมองเห็นในคำตอบของ AI สูงขึ้น 30-40%
- ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้ AI เข้าใจประเภทของเนื้อหาที่คุณนำเสนอ
- ทำให้ สแกนง่าย (Make It Scannable) โดยใช้ตัวหนา ภาพประกอบ และหัวข้อที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งมนุษย์และ AI สามารถระบุข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
- เนื้อหาต้อง ชัดเจนและกระชับ (Content clarity) มี ประโยคขึ้นต้นที่ชัดเจน (Introductory sentence) และมี การตอบคำถามโดยตรง (Direct answers to queries) ภายในสองสามประโยคแรก
7. ติดตามการมองเห็นใน LLMs (Track Your Visibility in LLMs)
การติดตามว่าเครื่องมือ AI เช่น ChatGPT, Perplexity, หรือ Gemini กล่าวถึงแบรนด์ของคุณบ่อยแค่ไหน เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจว่าอะไรได้ผลและควรเน้นที่จุดใด เริ่มต้นด้วย การทดสอบด้วยตนเอง (Manual Testing) โดยการถามคำถามเดียวกันบนแพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ และจดบันทึกแหล่งที่มาที่ถูกอ้างอิง อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่สามารถให้ข้อมูลที่แม่นยำได้มากนักเนื่องจากบริบทของการสนทนา
– สำหรับการติดตามที่ครอบคลุมมากขึ้น ควรใช้ เครื่องมือติดตาม LLM (LLM Tracking Tools) เช่น Semrush Enterprise AIO ที่ช่วยให้คุณติดตามการมองเห็นแบรนด์ของคุณในแพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ และเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้ รวมถึงการใช้รายงาน Organic Research ของ Semrush เพื่อติดตามคำหลักที่คุณติดอันดับใน Google AI Overviews
7 ขั้นตอนนี้เป็นการปรับตัวอย่างมีกลยุทธ์ของธุรกิจในยุค AI เพื่อให้เนื้อหาและแบรนด์ของคุณถูกค้นพบถูกเลือกและนำเสนอโดยเครื่องมือ Generative AI ในฐานะคำตอบที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องมากที่สุด การรวม GEO เข้ากับ SEO แบบเดิมจะช่วยเสริมสร้างความสำเร็จในแคมเปญการตลาดดิจิทัลของคุณ ทำให้แบรนด์ของคุณโดดเด่นและมีความน่าเชื่อถือในระบบค้นหาของ AI

การวัดผลในกลยุทธ์การทำ GEO
“จะรู้ได้อย่างไรว่ากลยุทธ์ GEO ของเราได้ผล?”
การวัดผล GEO จะแตกต่างจากการดู Traffic หรืออันดับแบบเดิมๆ เราจะเน้นไปที่ในการวัดผลกลยุทธ์ Generative Engine Optimization – GEO มีแนวทางและเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถนำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจว่าเนื้อหาของคุณปรากฏในผลลัพธ์ของ AI อย่างไร และมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน โดยการวัดผล GEO ที่สำคัญมีดังนี้
- การทดสอบด้วยตนเอง (Manual Testing)
ริ่มต้นด้วยการ ทดสอบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการดูว่าเนื้อหาของคุณมีประสิทธิภาพในปัจจุบันอย่างไร ใช้การถามคำถามเดียวกันบนแพลตฟอร์ม AI ต่างๆ เช่น ChatGPT, Claude, Perplexity และ Google (ทั้ง AI Mode และ AI Overviews)
บันทึกคำตอบที่ได้ และ สังเกตแหล่งที่มาที่ AI อ้างอิง เพื่อดูรูปแบบของเนื้อหาที่ถูกกล่าวถึง และการมองเห็นของคุณเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป การทำด้วยตนเองนี้จะเป็นการทดสอบแบบความรู้สึก ซึ่งอาจให้ข้อมูลที่ไม่แม่นยำนัก และใช้เวลานาน
- การใช้เครื่องมือติดตาม LLM (LLM Tracking Tools)
สำหรับการติดตามที่ครอบคลุมมากขึ้น เครื่องมือเฉพาะสามารถช่วยดำเนินการกระบวนการนี้โดยอัตโนมัติจากการใช้แพลตฟอร์มอย่าง Semrush Enterprise AIO ช่วยให้คุณติดตามการมองเห็นแบรนด์ของคุณบนแพลตฟอร์ม AI เช่น ChatGPT, Claude และ Google AI Overviews
เครื่องมือเหล่านี้สามารถแสดงให้เห็นว่าคุณอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และให้ขั้นตอนที่นำไปปฏิบัติได้เพื่อปรับปรุง คุณสมบัติอย่าง Competitive Rankings จะแสดงข้อมูลความถี่ในการกล่าวถึงและบริบทของคู่แข่ง ช่วยให้คุณเข้าใจว่าทำไมคู่แข่งถึงมีอันดับที่ดีกว่าในคำตอบของ AI
AI Toolkit ยังช่วยให้คุณติดตามการมองเห็นบน LLM ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของ GEO ที่ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งของคุณ รวมถึงการวิเคราะห์ความรู้สึก (sentiment analysis)
- Ziptie.dev เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงผลการกล่าวถึงที่ไม่มีลิงก์ (unlinked mentions) ในผลลัพธ์ของ AI
- ในรายงาน Organic Research ของ Semrush SEO Toolkit สามารถติดตามคำหลักที่คุณ (หรือคู่แข่ง) จัดอันดับที่ปรากฏใน Google AI Overviews โดยเฉพาะ หากเนื้อหาของคุณไม่ปรากฏในภาพรวม AI (AI Overview) นั่นคือคำหลักที่ควรจะมุ่งเป้าไปที่การปรับปรุง
การติดตามคำหลักที่คุณจัดอันดับใน AIOs เมื่อเวลาผ่านไปสามารถช่วยวัดผลประสิทธิภาพของกลยุทธ์ GEO ของคุณได้ วิธีวัดผลโดยละเอียดแบบเจาะลึก วิธีวัดผล GEO ติดตามการมองเห็นแบรนด์ใน LLMs

ศักยภาพและแนวโน้มของ GEO ในอนาคต
ในอนาคต การติดอันดับบน Google อาจไม่เพียงพออีกต่อไป GEO (Generative Engine Optimization) คือกลยุทธ์ใหม่ในการทำให้แบรนด์ติดคำแนะนำอันดับต้น ๆ ของเครื่องมือ AI แทนการมุ่งติดอันดับใน Google แบบเดิม เพราะพฤติกรรมการค้นหากำลังเปลี่ยน ผู้ใช้หันมาค้นผ่าน AI มากขึ้น และมีแนวโน้มที่การค้นหาแบบดั้งเดิมจะลดลงกว่า 50% ภายในไม่กี่ปี
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้ GEO จำเป็น
- การใช้ AI เป็นเครื่องมือค้นหาหลัก – ผู้ใช้เริ่มหาข้อมูล รีวิว และตัดสินใจซื้อผ่าน AI แทนการพิมพ์ค้นใน Google
- ค้นหาแบบหลายรูปแบบ (Multimodal Search) – ผสานข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ เพื่อให้ได้คำตอบที่สมบูรณ์และตรงความต้องการ
- Hyper-personalization – AI จะปรับคำตอบให้ตรงกับพฤติกรรม ความสนใจ และบริบทของแต่ละคนมากที่สุด
- การผสานเทคโนโลยี – GEO จะทำงานร่วมกับ Voice Search, Image Search และ Augmented Reality เพื่อมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้กับผู้ใช้
แนวทาง GEO สำหรับธุรกิจ
- สร้าง Owned Content ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ AI เลือกใช้เป็นแหล่งอ้างอิง
- เพิ่มคุณค่าของเนื้อหา ทำให้เนื้อหาชัดเจน ครอบคลุม และตอบโจทย์คำถามผู้ใช้จริง
- เนื้อหารองรับหลายรูปแบบ สร้างเนื้อหาในรูปแบบ Text, Image, Audio, Video เพื่อเพิ่มโอกาสถูกเลือก
- ติดตามและปรับแต่งต่อเนื่อง เพราะแพลตฟอร์ม AI อัปเดตและเปลี่ยนวิธีการเลือกข้อมูลตลอดเวลา
GEO คือแนวทางที่จะช่วยเสริมกลยุทธ์ SEO และเพิ่มการเข้าถึงของแบรนด์ ทำให้แบรนด์มีโอกาสเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในผลการค้นหาของเครื่องมือ Generative AI ต่าง ๆ การนำ GEO มาใช้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นผู้นำในช่องทางใหม่นี้
บทสรุป
Generative Engine Optimization (GEO) ไม่ใช่เพียงตัวเลือกเสริม แต่คือการก้าวข้ามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการตลาดดิจิทัลในอนาคต เปลี่ยนถ่ายจากยุคที่แข่งขันกัน ติดอันดับสู่ยุคที่ต้อง เป็นคำตอบที่ AI ไว้วางใจและเลือกแนะนำ
การปรับตัวในวันนี้ไม่เพียงช่วยให้แบรนด์อยู่รอด แต่ยังเปิดโอกาสให้สร้างความน่าเชื่อถือ สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ลึกและแม่นยำ พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- เราต้องเลิกทำ SEO แบบเดิมเลยหรือไม่?
ตอบ ไม่จำเป็นเลย SEO แบบเดิมโดยเฉพาะด้านเทคนิค (Technical SEO) และการสร้างเนื้อหาคุณภาพตามหลัก E-E-A-T ยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับ GEO ควรทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
- GEO เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้นหรือเปล่า?
ตอบ ธุรกิจทุกขนาดสามารถทำ GEO ได้ หัวใจสำคัญคือการสร้างเนื้อหาที่เชี่ยวชาญและตอบคำถามใน Niche ของตัวเองได้ดีที่สุด ธุรกิจขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอาจสร้าง Authority ได้เร็วกว่าด้วยซ้ำ
- ควรเริ่มทำ GEO เมื่อไหร่?
ตอบ ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ การเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การเริ่มต้นก่อนคู่แข่งจะช่วยให้คุณสร้างความได้เปรียบและเรียนรู้ได้เร็วกว่า
- อะไรคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการทำ GEO?
ตอบ การกลับไปทบทวนและสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงสุดตามหลัก E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) และเริ่มทำความเข้าใจว่าลูกค้าของคุณมีคำถามหรือปัญหาอะไรที่ยังไม่มีใครตอบได้ดีพอ จากนั้นสร้างเนื้อหาเพื่อตอบคำถามนั้นอย่างสมบูรณ์ที่สุด
อ้างอิง
- https://searchengineland.com/library/generative-engin-optimization
- https://www.gartner.com/en/marketing/glossary/search-engine-optimization-seo