ธุรกิจที่ใช้ PPC (Pay-Per-Click) สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ได้ถึง 50% บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานของ PPC (Pay-Per-Click) ว่าคืออะไรและทำงานอย่างไร พร้อมแนะนำประเภทของโฆษณา PPC เช่น Google Ads และ Facebook Ads รวมถึงวิธีการสร้างแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยเพิ่ม ROI ลดต้นทุน และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อย เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดที่ต้องการใช้โฆษณาออนไลน์เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
กดเพื่อเลือกอ่าน
- PPC (Pay-Per-Click) คืออะไร?
- PPC (Pay-Per-Click) มีวิธีการทำยังไง?
- แพลตฟอร์มของ PPC มีอะไรบ้าง?
- ทำไม PPC ถึงสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์
- การวางแผนแคมเปญ PPC ให้มีประสิทธิภาพ
- ประเภทของแคมเปญโฆษณา PPC มีอะไรบ้าง?
- แนวทางการสืบหาคำหลัก (Keyword Research)
PPC (Pay-Per-Click) คืออะไร?
PPC (Pay-Per-Click) คือโมเดลการโฆษณาออนไลน์ที่ผู้โฆษณาจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อมีผู้ใช้คลิกที่โฆษณา โดยเป้าหมายหลักของการทำโฆษณาแบบ PPC คือการจ่ายค่าธรรมเนียมที่ไม่สูงเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน การคลิกนั้นต้องมีมูลค่าที่สูงกว่า ค่าธรรมเนียมที่จ่ายไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน PPC นั้นใช้เพื่อดึงดูดการเข้าชมที่มีคุณภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมายไปยังเว็บไซต์ หน้า Landing Page หรือแอปพลิเคชันต่างๆ
โดยโฆษณา PPC สามารถประกอบไปด้วยข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือบางประเภทสามารถใส่ทั้งสามอย่างให้แสดงผลบนเครื่องมือค้นหา รวมทั้งเว็บไซต์แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และอื่นๆ Pay-Per-Click ยังถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า CPC (Cost-Per-Click) ซึ่งหมายถึงค่าคลิกที่ผู้โฆษณาต้องจ่ายทุกครั้งที่มีการคลิกบนโฆษณาของพวกเขา โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าและสร้างผลกำไรที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไป
PPC vs. SEM vs. SEO
- SEM (Search Engine Marketing) คือคำที่ใช้ในการอธิบายกิจกรรมการตลาดในเครื่องมือค้นหาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการโฆษณาแบบจ่ายเงิน (PPC) และการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อปรากฏในผลการค้นหาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน (SEO)
- PPC คือส่วนหนึ่งของ SEM โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นการโฆษณาที่ผู้โฆษณาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น
- SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้สามารถปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาได้โดยไม่ต้องจ่ายเงิน โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การปรับเนื้อหาหรือ การสร้างลิงก์ย้อนกลับ (ฺBacklink)

PPC (Pay-Per-Click) มีวิธีการทำยังไง?
วิธีการทำของ PPC (Pay-Per-Click) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการสร้าง โฆษณาออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้เป็นหลักการทำ PPC ว่ามีอะไรบ้างลองไปดูกัน
- เลือกประเภทของแคมเปญ
ขั้นแรกคือการเลือกประเภทของแคมเปญที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของธุรกิจ เช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ หรือการสร้างการรับรู้แบรนด์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการตั้งค่าและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันไป - ปรับแต่งการตั้งค่าและการกำหนดเป้าหมาย
ต่อไปจะเป็นการปรับตั้งค่าการกำหนดเป้าหมายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ เช่น การเลือกกลุ่มลูกค้าเฉพาะตามอายุ เพศ ความสนใจ หรือพฤติกรรม นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดอุปกรณ์ที่ใช้ (มือถือหรือเดสก์ท็อป) พื้นที่ภูมิศาสตร์ที่ต้องการแสดง และเวลาที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ - กำหนดงบประมาณและกลยุทธ์การประมูล
ในขั้นตอนนี้ คุณจะต้องกำหนดงบประมาณสูงสุดที่สามารถจ่ายต่อคลิก (CPC) ได้ และเลือกกลยุทธ์การประมูลที่เหมาะสม เช่น การประมูลตามจำนวนคลิกหรือการแสดงผล ซึ่งการเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องจะช่วยให้การใช้จ่ายคุ้มค่ามากที่สุด - ระบุ URL ปลายทาง (Landing Page)
เมื่อผู้ใช้คลิกโฆษณา โฆษณาจะนำพาผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง (Landing Page) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถดำเนินการตามเป้าหมายได้ เช่น การซื้อสินค้า โทรติดต่อ หรือการกรอกฟอร์มข้อมูล - สร้างโฆษณา
สร้างข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่น่าสนใจและดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ โฆษณาควรมีเนื้อหาที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มอัตราการคลิก - การวางโฆษณาและการกำหนด CPC
หลังจากการประมูล ระบบจะวางโฆษณาของคุณในตำแหน่งที่เหมาะสมตามอัลกอริธึม ซึ่งพิจารณาจากงบประมาณ ความเกี่ยวข้อง และคุณภาพของโฆษณา โฆษณาที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องจะมีโอกาสได้ตำแหน่งที่ดีกว่า - แพลตฟอร์มจะให้รางวัลแก่แคมเปญที่มีความเกี่ยวข้องและเชื่อถือได้
แพลตฟอร์มโฆษณาจะให้รางวัลแก่แคมเปญที่มีความเกี่ยวข้องและเชื่อถือได้ด้วยการลดต้นทุนการคลิกและให้ตำแหน่งโฆษณาที่ดีกว่า เมื่อแคมเปญมีประสิทธิภาพสูง จะสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและการใช้จ่ายที่คุ้มค่ามากขึ้นนั่นเอง
PPC ช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ผ่านการกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและการประมูลที่มีประสิทธิภาพ กระบวนการทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการแคมเปญ PPC ได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด
แพลตฟอร์มของ PPC มีอะไรบ้าง?
การโฆษณาผ่าน PPC สามารถทำได้บนหลายแพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มจะมีคุณสมบัติและวิธีการกำหนดเป้าหมายที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาอย่างสูงสุด ดังนี้

- Google Ads
Google Ads เป็นระบบโฆษณา PPC ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในโลก โดยผู้โฆษณาจะทำการประมูลคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ต้องการให้โฆษณาของตนปรากฏขึ้นเมื่อมีการค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดย Google ใช้กระบวนการประมูล “auction-style process” ในการตัดสินใจว่าโฆษณาใดจะปรากฏ ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดและ Quality Score ของโฆษณานั้นๆ
- Ads Rank = Quality Score x Maximum Bid
คุณภาพของหน้า Landing Page มีความสำคัญอย่างมากในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้โฆษณาควรให้ความสำคัญกับการเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง การจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดที่ดี และการเขียนข้อความโฆษณาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายควรปรับแต่งและขยายแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- Microsoft Bing Ads
คล้ายกับ Google Ads โดยผู้โฆษณาสามารถสร้างโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Bing ซึ่งมีข้อดีในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เครื่องมือค้นหาของ Microsoft Bing เป็นหลัก - Social Media Platforms
โฆษณา PPC สามารถทำได้บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้ด้วยซึ่งช่วยให้ผู้โฆษณาสามารถกำหนดเป้าหมายที่แม่นยำตามข้อมูลของผู้ใช้ เช่น
- Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถกำหนดเป้าหมายได้ละเอียด เช่น อายุ เพศ ความสนใจ และพฤติกรรมของผู้ใช้
- Instagram โฆษณาบน Instagram มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานที่ชอบดูภาพและวิดีโอ
- TikTok แพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตซึ่งเหมาะสำหรับโฆษณาที่ต้องการความสร้างสรรค์และความบันเทิง
- LinkedIn เหมาะสำหรับการโฆษณา B2B โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงมืออาชีพ
- Twitter เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับการโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ล่าสุดและการสร้างการสนทนา
- Video Platforms
YouTube แพลตฟอร์มวิดีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถแสดงโฆษณาแบบ TrueView หรือแบบไม่ข้ามโฆษณา (Non-Skippable) เพื่อเข้าถึงผู้ชมที่กำลังรับชมวิดีโอในหัวข้อต่างๆ
การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญและกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึง เพราะแต่ละแพลตฟอร์มมีคุณสมบัติและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันไป เช่น หากเป้าหมายของแคมเปญคือการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ อาจเลือกใช้ Google Ads หรือ Bing Ads ซึ่งเน้นการแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา
หากต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชอบเนื้อหาภาพหรือวิดีโอ แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Instagram หรือ YouTube อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดและเข้าถึงผู้ใช้ในหลากหลายลักษณะ รวมถึงการกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ Conversion ได้มากขึ้น
ทำไม PPC ถึงสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์
การโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) หรือการโฆษณาที่จ่ายต่อคลิกเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ในโลกออนไลน์ โดยมีข้อดีหลายประการที่ทำให้ PPC เป็นเครื่องมือที่ไม่ควรมองข้ามในการตลาดออนไลน์

- ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว การโฆษณาแบบ PPC สามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ทันทีหลังจากที่เริ่มการโฆษณา ซึ่งต่างจากกลยุทธ์อื่นๆ ที่อาจต้องใช้เวลานานในการเห็นผลลัพธ์อย่าง SEO
- การเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย การโฆษณา PPC ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การกำหนดพฤติกรรม ความสนใจ ทำเลที่ตั้ง หรือแม้แต่ข้อมูลประชากร เพื่อให้โฆษณาถูกแสดงต่อผู้ที่มีแนวโน้มจะสนใจสินค้าและบริการมากที่สุด
- วัดผลได้ การโฆษณา PPC ช่วยให้สามารถติดตามข้อมูลสำคัญ เช่น อัตราการแปลง (conversion) ROI (Return on Investment) และ KPI อื่นๆ ได้ ซึ่งทำให้สามารถประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างแม่นยำ
- คุ้มค่าต่อการลงทุน คุณจ่ายเฉพาะเมื่อมีผู้คลิกที่โฆษณาของคุณ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินโดยที่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการโดยการกำหนดคีย์เวิร์ดเชิงลบ
- สร้างการรับรู้แบรนด์ PPC ไม่เพียงแค่เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ แต่ยังช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ โดยโฆษณาของคุณจะปรากฏให้เห็นในสถานที่ที่ผู้คนค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- เสริมสร้าง SEO การใช้ PPC สามารถเสริมกลยุทธ์ SEO (Search Engine Optimization) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ยังไม่สามารถติดอันดับได้ดีในผลการค้นหาแบบออร์แกนิก
- ผลตอบแทนที่ดี ในปี 2022 การโฆษณา PPC สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย $2 สำหรับทุกๆ $1 ที่ลงทุน โดยมีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) เฉลี่ยที่ $1.16 (ข้อมูลจาก Search Engine Land)
สรุปแล้ว PPC เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ เนื่องจากสามารถสร้างผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ติดตามได้ และสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามากในการเพิ่มการเข้าชมและการขายออนไลน์ ต่อไปมาดูกันว่าจะวางแผนแคมเปญโฆษณายังไงให้มีประสิทธิภาพ
การวางแผนแคมเปญ PPC ให้มีประสิทธิภาพ
“เนื่องจากทุกแพลตฟอร์มที่ให้บริการโฆษณา PPC ต้องการให้ผู้ใช้พึงพอใจ พวกเขาจึงมอบตำแหน่งโฆษณาที่สูงขึ้นและค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงให้กับผู้โฆษณาที่สร้างแคมเปญที่เกี่ยวข้องและน่าเชื่อถือ” Quotes จาก – WordStream

การวางแผนแคมเปญ PPC (Pay-Per-Click) ให้มีประสิทธิภาพต้องมีการเตรียมตัวและวางกลยุทธ์ที่รอบคอบ ซึ่งจะช่วยให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของแคมเปญและเพิ่ม ROI (Return on Investment) ได้อย่างสูงสุด โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. กำหนดเป้าหมาย (Target audience)
การระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการวางแผนแคมเปญ PPC คุณต้องรู้ว่าผู้ที่คุณต้องการให้เห็นโฆษณาคือใคร เช่น อาจจะกำหนดตามข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ ที่ตั้ง หรือความสนใจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้แคมเปญมีความแม่นยำและตรงกลุ่มมากขึ้น
2. ตั้งเป้าหมายแคมเปญที่ชัดเจน (Clear goals)
แคมเปญ PPC ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ การขับเคลื่อนการขายหรือการสร้างลีด (Lead) ลูกค้าใหม่ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสามารถวัดผลและประเมินความสำเร็จของแคมเปญได้
3. ค้นหาคำหลัก (Research keywords)
คำหลัก (keywords) เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดว่าผู้ใช้จะเห็นโฆษณาของคุณเมื่อทำการค้นหาข้อมูลออนไลน์ คุณควรทำการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและบริการของคุณ เพื่อเลือกคำที่เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในแคมเปญ
4. เนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจ (Compelling ads copy)
การเขียนหัวข้อและคำบรรยายที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญ คุณควรทำให้โฆษณาของคุณโดดเด่นจากโฆษณาอื่นๆ ด้วยการใช้ข้อความที่กระชับ น่าสนใจ และมีการกำหนด (CTA) ที่สร้างลีดได้ดี
5. เลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสม (Choose ads platforms)
การเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้แคมเปญของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด แพลตฟอร์มที่นิยมเช่น Google Ads, Microsoft Advertising, หรือ Meta Ads (Facebook, Instagram) ให้เลือกตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแคมเปญ
6. ติดตามและปรับปรุงผลลัพธ์ (Monitor and optimize)
การติดตามผลการดำเนินงานของแคมเปญ PPC เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก PPC สามารถนำข้อมูลมาวัดผลได้ เช่น อัตราการแปลง ROI (Return on Investment) และ KPI อื่นๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามผลลัพธ์และทำการปรับปรุงแคมเปญเมื่อจำเป็น
7. ทดสอบรูปแบบโฆษณาที่ต่างกัน (Test different ad)
เพื่อหารูปแบบของโฆษณาที่ได้ผลดีที่สุด ควรทดสอบรูปแบบโฆษณาหลายๆ แบบ เช่น โฆษณาข้อความ ภาพ วิดีโอ และตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายต่างๆ การทดสอบนี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด
8. ตั้งงบประมาณ (Set a budget)
การกำหนดงบประมาณเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนแคมเปญ PPC ควรกำหนดจำนวนเงินที่พร้อมจะใช้ในการโฆษณา และตรวจสอบให้มั่นใจว่าแคมเปญมีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับผลตอบแทนที่ต้องการ
การวัดผลและ ROI การโฆษณา PPC ช่วยให้สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถติดตามผลการแปลง (conversions) ROI และ KPIs อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้สามารถปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญให้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว การวางแผนแคมเปญ PPC ที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มการมองเห็นออนไลน์ ดึงดูดลูกค้าใหม่ และสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้อย่างชัดเจน
ประเภทของแคมเปญโฆษณา PPC มีอะไรบ้าง?
การโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) มีหลายประเภทที่สามารถเลือกใช้งานได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและกลยุทธ์ของธุรกิจ ดังนี้

- Search Ads
โฆษณาที่ปรากฏในหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจ โฆษณาเหล่านี้จะเป็นข้อความที่ตรงกับคำค้นและมักจะปรากฏที่ส่วนบนของหน้า SERP (Search Engine Results Page) ซึ่งเป็นประเภทโฆษณาที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากสามารถเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง - Display Ads
โฆษณาที่แสดงในรูปแบบของแบนเนอร์หรือกราฟิกต่าง ๆ บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันอื่น ๆ โดยโฆษณาเหล่านี้มักจะใช้ภาพหรือกราฟิกที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ การใช้โฆษณา Display เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์หรือกระตุ้นการสนใจในสินค้าหรือบริการที่นำเสนอ - Video Ads
โฆษณาที่ใช้เนื้อหาวิดีโอเพื่อโปรโมทสินค้าและบริการ โดยมักจะปรากฏบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, บริการสตรีมมิ่ง, หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ วิดีโอมีศักยภาพในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดีกว่าโฆษณาในรูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากสามารถสื่อสารข้อความได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ - Remarketing (Retargeting) Ads
โฆษณาที่แสดงให้กับผู้ใช้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธุรกิจมาก่อน เช่น การเข้าชมผลิตภัณฑ์แต่ไม่ได้ทำการซื้อ โฆษณาประเภทนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาซื้อสินค้า หรือทำการกระทำที่ต้องการอีกครั้ง โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการแปลงผู้ใช้ที่อาจจะลืมหรือยังไม่ตัดสินใจ - Other Ad Types (ประเภทโฆษณาอื่น ๆ)
- RLSAs (Remarketing Lists for Search Ads) เป็นการนำข้อมูลจากผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธุรกิจมาใช้ในการแสดงโฆษณาในผลการค้นหาบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อให้สามารถโฆษณาแก่กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจหรือเคยใช้บริการมาก่อน
- Performance Max รูปแบบโฆษณาใหม่ที่ Google ใช้ให้ผู้ลงโฆษณาสามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านหลายช่องทาง เช่น Search, Display, YouTube และอื่น ๆ ด้วยแคมเปญเดียว โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- LSAs (Local Service Ads) โฆษณาที่ช่วยให้ธุรกิจที่มีการให้บริการในพื้นที่สามารถแสดงผลการค้นหาได้อย่างตรงจุดและเพิ่มการติดต่อกับลูกค้าในพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง
การเลือกใช้ประเภทโฆษณาที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของธุรกิจสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผลลัพธ์ทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางการสืบหาคำหลัก (Keyword Research)
Keyword Research เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างแคมเปญ PPC ที่มีประสิทธิภาพ คำหลักที่เลือกใช้อย่างถูกต้องจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์และการเข้าถึงลูกค้าในแคมเปญของคุณ ดังที่ มีคำกล่าวไว้ว่า แคมเปญทั้งหมดของคุณถูกสร้างขึ้นโดยคำค้นหลัก การสร้างรายการคำค้นสำหรับ PPC ที่มีประสิทธิภาพนั้นควรจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ความเกี่ยวข้อง (Relevant)
คำหลักที่เลือกใช้งานต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับสินค้าหรือบริการที่คุณขาย การเลือกคำค้นที่มีความเกี่ยวข้องจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาสิ่งที่คุณนำเสนอ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการคลิกและแปลงเป็นการขาย
ตัวอย่าง
คำค้นหลัก “รับทำ SEM”, “บริการ PPC”, “รับทำ SEO” คำค้นเหล่านี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับบริการที่คุณนำเสนอ ซึ่งจะช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงผลเมื่อผู้ใช้ค้นหาบริการที่เกี่ยวข้องกับ SEM, PPC หรือ SEO
- ความครบถ้วน (Exhaustive)
คำหลักที่เลือกใช้ต้องรวมถึงคำที่มีความนิยมและคำค้นยาว (Long-tail keywords) โดยคำค้นยาวจะเป็นคำที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น และมีการแข่งขันต่ำกว่า ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้ากลุ่มที่มีความสนใจสูงและพร้อมที่จะซื้อ
ตัวอย่าง
คำค้นแบบยาว (Long-tail keywords) เช่น “บริการรับทำ SEM สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก”, “PPC สำหรับเว็บไซต์ e-commerce”, “SEO สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ” คำค้นแบบยาวนี้มีความเฉพาะเจาะจงและจะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่มองหาบริการที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยที่การแข่งขันจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคำค้นทั่วไป
- ความกว้าง (Expansive)
รายการคำค้นหาของคุณต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรจะเพิ่มคำค้นใหม่ๆ เพื่อขยายการเข้าถึง และทำการปรับปรุงโดยการเพิ่มคำค้นที่มีความเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมถึงการเพิ่ม คำหรือวลีเชิงลบ (Negative keywords) เพื่อให้โฆษณาของคุณแสดงผลเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจจริงๆ
ตัวอย่าง
คุณควรเพิ่มคำค้นใหม่ ๆ เช่น “รับทำโฆษณาออนไลน์”, “ที่ปรึกษา SEO”, “บริการการตลาดออนไลน์” นอกจากนี้ ควรใช้คำค้นลบ (Negative keywords) เช่น “ฟรี” หรือ “บริการราคาถูก” หากไม่เกี่ยวข้องกับบริการของคุณ เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่ไม่สนใจ
การบริหารจัดการคำค้นในแคมเปญ PPC ไม่ใช่แค่การเลือกคำค้นที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังต้องมีการตรวจสอบคำค้นที่ใช้แล้วมีค่าใช้จ่ายสูงหรือผลลัพธ์ต่ำ และปิดการใช้งานคำค้นเหล่านั้นหากจำเป็น เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การวิจัยคำค้นที่ดีจะช่วยให้คุณสร้างแคมเปญ PPC ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพิ่มอัตราการแปลง และปรับปรุงผลลัพธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ถ้ายังไม่มั่นใจว่าการทำโฆษณาแบบ PPC จะเหมาะกับธุรกิจของคุณ หรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เราพร้อมช่วยคุณวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ตรงจุดและเลือกคำค้นที่มีประสิทธิภาพ ทีมงานของเราจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเติบโตได้อย่างมั่นคง
ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาฟรี! Rise Group Asia (RGA)
Facebook www.facebook.com/risegroupasia