คุณรู้ไหมว่า 75% ของผู้ใช้มักจะไม่เลื่อนผ่านหน้าแรกของ Google นั่นหมายความว่า หากเว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหา คุณอาจจะพลาดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าไปเลย การทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหา เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงจากผู้ใช้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการสร้างโอกาสทางธุรกิจของคุณ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงความสำคัญของ SEO ต่อเว็บไซต์และการติดอันดับในการค้นหาบน Google ว่ามีหลักการทำงาน และสำคัญยังไงต่อเว็บไซต์ของคุณ การเข้าใจพื้นฐานของ SEO จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการเข้าถึงเป้าหมายได้มากขึ้นนั่นเอง
Table of contents
- SEO คืออะไร?
- SEO vs. PPC แตกต่างกันยังไง?
- ความสำคัญของการทำ SEO
- เครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง?
- องค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO
- วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา SEO
- หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพ E-E-A-T คืออะไร?
- หลักของการ สร้างลิ้งค์ (Link Building)
- แนวโน้มของการทำ SEO ในปัจจุบัน
- Local SEO คืออะไร?
- ประเภทเฉพาะของการทำ SEO (SEO Specialties)
- เทรนด์ SEO ที่น่าติดตาม
SEO คืออะไร?
SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น และให้เว็บไซต์ปรากฏกับผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ผ่านการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) สำหรับคำค้นหา หรือ วลีที่มีความเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ คุณค่าต่อกลุ่มผู้ค้นหาตามจุดประสงค์ที่ต้องการ
เป้าหมายของ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ปรากฏในหน้าแรกของผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหาสำหรับคำ หรือ วลีที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์สูงสุดต่อผู้ค้นหา เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพมายังเว็บไซต์ การทำ SEO ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในผลลัพธ์การค้นหาทำให้ผู้คนสามารถค้นหาข้อมูล สินค้า หรือบริการที่เป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
SEO vs. PPC แตกต่างกันยังไง?
SEO (Search Engine Optimization)
SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับปรุงเนื้อหา โครงสร้าง ของเว็บไซต์เพื่อช่วยให้เว็บไซต์จัดอันดับสูงขึ้นในผลลัพธ์การค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SERPs) โดยไม่ต้องจ่ายเงิน การมุ่งเน้นของ SEO คือการดึงดูดคลิกจากผลลัพธ์การค้นหาธรรมชาติ (Organic Search Results) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโฆษณาแบบจ่ายเงิน ต่างจาก PPC คือ
PPC (Pay-Per-Click)
PPC หรือ Paid ads/Paid search คือการโฆษณาผ่านการจ่ายเงินที่ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินทุกครั้งที่มีผู้คลิกโฆษณาของเขา โดยการโฆษณานี้จะปรากฏขึ้นในตำแหน่งที่เด่นบนผลการค้นหา PPC มุ่งเน้นการดึงดูดคลิกจากผลลัพธ์ที่จ่ายเงิน
หรือพูดง่ายๆ ว่า SEO เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับสูงในผลลัพธ์การค้นหาฟรี (ออร์แกนิก) ส่วน PPC คือการใช้โฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก โดยผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินให้กับเครื่องมือค้นหาทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของตนนั่นเอง
ความสำคัญของการทำ SEO
SEO (Search Engine Optimization) มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เนื่องจากเครื่องมือค้นหามีผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล ซึ่งส่งผลให้ SEO เป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาที่ออร์แกนิก (ไม่ต้องจ่ายเงิน) ซึ่งเป็นแหล่งทราฟฟิกที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์หลายๆ แห่ง
อ้างอิงข้อมูลจาก Search Engine Land ที่ระบุว่า “การค้นหาทางออร์แกนิก (organic search) มักจะสร้างการเข้าชมเว็บไซต์ถึง 53% ของทราฟฟิกทั้งหมด” และมีการค้นหามากกว่า 8.5 พันล้านครั้งทุกวันใน Google ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีเว็บไซต์ที่ถูกปรับให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา (search engine friendly) เพราะการมีอันดับที่ดีในผลลัพธ์การค้นหาช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมหาศาล
นอกจากนี้เว็บไซต์ SEO tools อย่าง Ahrefs ยังเน้นถึงความสำคัญของ SEO ในการสร้างทราฟฟิกที่ฟรีและยั่งยืน โดยได้ระบุเอาไว้ว่า “ทราฟฟิกที่ได้จาก SEO นั้นฟรี” จากตัวอย่างบล็อกของ Ahrefs ที่ได้รับการเข้าชมประมาณ 572 000 ครั้งต่อเดือนจากการค้นหาผ่าน Google Ahrefs บอกว่าหากไม่มีการทำ SEO ทางบริษัทอาจจะต้องใช้เงินมากกว่า 0.5 ล้านดอลลาร์ในการโฆษณาเพื่อดึงดูดทราฟฟิกขนาดนั้น
การทำ SEO จึงเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญเพราะช่วยขับเคลื่อนการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาออร์แกนิกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ (ฟรี) และสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และยังเป็นการสร้างรากฐานการตลาดที่ยั่งยืนที่สามารถแข่งขันได้ดีกว่าโฆษณาแบบจ่ายเงินในระยะยาว
เครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง?

ก่อนทำ SEO ต้องรู้ก่อนว่าเครื่องมือค้นหา (Search Engines) ทำงานยังไง เครื่องมือค้นหามีขั้นตอนหลักในการทำงานเพื่อค้นหาและแสดงผลลัพธ์ที่เหมาะสมกับคำค้นหาของผู้ใช้ โดยการทำงานนี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอนหลักๆ ได้แก่
1. Crawling (การสำรวจหน้าเว็บ)
ในขั้นตอนนี้ เครื่องมือค้นหาจะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า เว็บครอว์เลอร์ (Web crawler) หรือ บอท (bot) เพื่อเดินทางไปยังเว็บไซต์ต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตและดึงข้อมูลจากหน้าเว็บต่างๆ โดยวิธีการติดตามลิงก์ที่เชื่อมโยงกันไปในแต่ละหน้าไปเรื่อยๆ
2. Rendering (การแสดงผลหน้าเว็บ)
เมื่อเครื่องมือค้นหาเข้าถึงหน้าเว็บแล้ว ระบบจะทำการ เรนเดอร์ (render) หรือแสดงวิธีที่หน้าจะถูกแสดงผลแก่ผู้ใช้ โดยการใช้ข้อมูลจาก HTML JavaScript และ CSS เพื่อให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าหน้านั้นควรจะแสดงผลออกมาให้ถูกต้องอย่างไร
3. Indexing (การจัดเก็บข้อมูล)
หลังจากเข้าถึงหน้าเว็บและแสดงผลแล้ว ข้อมูลจากหน้าเว็บที่ถูกค้นพบจะถูก จัดทำดัชนี (Index) โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลเมตา Meta ของหน้าเว็บ เช่น คำหลัก (Keywords) หัวข้อ (Headings) และ URL จากนั้นจะบันทึกข้อมูลเหล่านี้ใน ดัชนีการค้นหา (Search index) ซึ่งเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บข้อมูลของหน้าเว็บทุกๆ หน้าเอาไว้
4. Ranking (การจัดอันดับ)
เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหา เครื่องมือค้นหาจะใช้ อัลกอริธึม (Algorithms) ในการประเมินและจัดอันดับผลลัพธ์ตามความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหาบนหน้าเว็บ โดยอัลกอริธึมจะคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือ คุณภาพของเนื้อหา ความตรงกับคำค้นหา และการเชื่อมโยงกับแหล่งข้อมูลอื่นๆ
การเข้าใจว่าเครื่องมือค้นหาทำงานอย่างไรโดยการ ครอว์ล จัดทำดัชนี และ จัดอันดับ หน้าที่สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพราะอัลกอริธึมที่ใช้ในการจัดอันดับนั้นมีความซับซ้อนและพัฒนาอยู่เสมอ
องค์ประกอบสำคัญของการทำ SEO
การทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการปรับปรุงหลายๆ ด้านของเว็บไซต์ โดยแต่ละส่วนมีความสำคัญที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถขึ้นอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google และดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้น ต่อไปนี้คือองค์ประกอบหลักที่สำคัญในการทำ SEO ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. Technical SEO (SEO ด้านเทคนิค)
Technical SEO เป็นการปรับปรุงด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและทำงานได้ดีขึ้น เช่น การปรับปรุงความสามารถในการ ครอว์ล (crawlability) การเพิ่ม ความเร็วในการโหลด (site speed) และการทำให้เว็บไซต์ เหมาะสมกับมือถือ (mobile-friendliness) เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างราบรื่นและสะดวกสบาย
2. On-site SEO (SEO ภายในเว็บไซต์)
On-site SEO หรือที่หลายคนเรียกว่า On-Page คือการปรับปรุงเนื้อหาภายในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับ โดยการเลือกและใช้งาน คำค้นหา (keywords) หรือวลีอย่างเหมาะสม และการสร้าง เนื้อหาคุณภาพ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน โดยต้องแน่ใจว่าเนื้อหาของเว็บไซต์เกี่ยวข้องและมีคุณค่าต่อผู้เยี่ยมชมสำคัญเป็นอับดับแรก
3. Off-site SEO (SEO ภายนอกเว็บไซต์)
Off-site SEO หรือที่หลายคนเรียกว่า Off-Page เป็นการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์และเพิ่มอำนาจโดเมนรวมถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ทำได้โดยการสร้าง ลิงก์เชื่อมโยง (link building) จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ และบวกกับการใช้ การตลาดในโซเชียลมีเดีย (social media marketing) เพื่อเพิ่มทราฟฟิกการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
4. Keyword Research (การวิจัยคำค้นหา)
Keyword Research คือการค้นหา คำหลัก หรือ วลี ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อช่วยในการดึงดูดผู้เยี่ยมชม โดยต้องคำนึงถึงคำค้นหาที่ผู้ใช้งานมักใช้ในการค้นหาข้อมูลเรื่องนั้นๆ เป็นหลัก
5. Search Intent (ความตั้งใจในการค้นหา)
คือการเข้าใจถึง เหตุผล หรือความตั้งใจของผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูลว่าผู้ใช้ต้องการค้นหาสิ่งนี้เพื่ออะไร เพราะจะทำให้เนื้อหาของเว็บไซต์ที่เราสร้างสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างตรงจุดมากที่สุด
6. Content Quality (คุณภาพของเนื้อหา)
เป็นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยเนื้อหาต้องช่วยแก้ปัญหาหรือให้ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการได้
7. User Experience (UX)
การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงการออกแบบที่ใช้งานง่ายและการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เร็วขึ้นด้วย
การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องการการรวมกันของการปรับปรุงด้านเทคนิค การสร้างเนื้อหาคุณภาพ การพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้งาน (UX) และความพยายามในการสร้างลิงก์เชื่อมโยงจากภายนอกเว็บไซต์ (off-page efforts) เช่น การสร้างลิงก์ (link building) รวมกันเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาที่สูง
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา SEO
การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาคือการปรับแต่งเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เหมาะสมและตอบสนองต่อความต้องการของทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้อง สอดคล้องกับคำค้นหาของผู้ใช้ และมีคุณภาพสูงสุด เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสสูงสุดในการเติบโตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
- เนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีคุณค่า
การสร้างเนื้อหาที่มีความ เกี่ยวข้อง (Relevant) ไม่ซ้ำซ้อน (Unique) เขียนได้ดี (Well-written) ทันสมัย (Up-to-date) และอื่นๆ เช่น มีมัลติมีเดีย (Multimedia) จำพวก รูปภาพ วิดีโอ หรือกราฟิก ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้มากขึ้น - การปรับแต่งส่วนต่างๆ ของเนื้อหา
การปรับแต่ง title tags meta descriptions header tags และ image alt text เป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO เพราะช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกับคำค้นหาหรือไม่ และทำให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลลัพธ์การค้นหาได้ง่ายขึ้น - เนื้อหาที่มีคุณสมบัติพิเศษ
เนื้อหาที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหา ซึ่งจากข้อมูลของ Ahrefs เนื้อหาที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. Helpful (มีประโยชน์)
เนื้อหาควรมีความสามารถในการตอบโจทย์หรือแก้ไขปัญหาของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้งานเข้ามาที่เว็บไซต์ พวกเขาคาดหวังว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนและตรงกับความต้องการของตน เนื้อหาที่เป็นประโยชน์จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้ชม
2. Easy to digest (อ่านง่ายและเข้าใจได้ไม่ยาก)
เนื้อหาควรมีความเข้าใจง่าย และไม่ซับซ้อน การใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และหลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ที่ยากเกินไปจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจเนื้อหาได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การแบ่งย่อหน้าหรือใช้หัวข้อย่อยยังช่วยทำให้การอ่านและการค้นหาข้อมูลในเนื้อหาสะดวก
3. Well-structured (จัดระเบียบเนื้อหาอย่างดี)
การจัดระเบียบเนื้อหาด้วยการใช้หัวข้อหลักและหัวข้อย่อย (Headings) อย่างชัดเจน ช่วยให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณและจัดอันดับได้ดีขึ้น เช่น การใช้ลำดับหรือรายการ (lists) เพื่อแบ่งข้อมูลในลักษณะที่เข้าใจง่ายก็เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านเนื้อหาด้วย
4. Unique (มีความพิเศษและไม่ซ้ำกับแหล่งข้อมูลอื่น)
เนื้อหาที่ไม่ซ้ำใครและไม่เหมือนกับเว็บไซต์อื่นๆ มีความสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา Google เนื้อหาที่มีความพิเศษสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับเว็บไซต์ของคุณ
5. Fresh (มีความสดใหม่และอัปเดตอยู่เสมอ)
เนื้อหามีความสดใหม่และอัปเดตสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณดูทันสมัยและมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น Google มักจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้ในปัจจุบัน
เนื้อหาคุณภาพสูงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ เนื้อหาควรจะมีความ เกี่ยวข้อง ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ดึงดูดผู้ใช้งาน และ ปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหามากที่สุดนั่นเอง
หลักเกณฑ์ประเมินคุณภาพ E-E-A-T คืออะไร?
E-E-A-T คือหลักเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของผลลัพธ์การค้นหา โดยเฉพาะในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ YMYL (Your Money or Your Life) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การเงิน หรือเรื่องที่สามารถมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้ใช้โดยตรง เราจะอธิบาย E-E-A-T แต่ละหัวข้อไว้ดังนี้
E – Experience (ประสบการณ์)
Google มองหาการแสดงประสบการณ์จริงจากผู้เขียนเนื้อหาหรือแหล่งข้อมูลที่สามารถแสดงให้เห็นว่าเขียนโดยผู้มีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่กำลังกล่าวถึง การที่ผู้เขียนมีประสบการณ์สามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้นนั่นเอง
E – Expertise (ความเชี่ยวชาญ)
ความเชี่ยวชาญ หรือความรู้เชิงลึกในเรื่องที่กล่าวถึง ตัวอย่างเช่น การที่เนื้อหาถูกเขียนโดยผู้ที่ถนัดหรือเคยศึกษาในเรื่องนั้น หรือมีประสบการณ์ทำงานในสาขานั้นๆ จะเป็นการช่วยยืนยันว่าเนื้อหามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง
A – Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ)
การที่เว็บไซต์หรือผู้เขียนเนื้อหามี ความน่าเชื่อถือได้ ในสาขานั้นๆ เช่น เว็บไซต์มีการเขียนอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หรือมีการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียง รวมทั้งการมีลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ที่มีค่า DA (Domain Authority) สูง หรือการรีวิวจากผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ จะช่วยยืนยันว่าเว็บไซต์นั้นๆ เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
T – Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)
ความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดใน E-E-A-T เพราะ Google ต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ ถูกต้องและโปร่งใส การมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเนื้อหา การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เว็บไซต์เก็บ และการจัดการข้อมูลผู้ใช้ที่เข้าใช้งาน ล้วนมีผลต่อการประเมินความน่าเชื่อถือทั้งสิ้น
กล่าวคือ E-E-A-T เป็นหลักเกณฑ์ของผู้ประเมินสำคัญที่ช่วยให้ Google ประเมินความถูกต้อง ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และเนื้อหา โดย ความน่าเชื่อถือ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด และการมี ลิงก์ที่อ้างอิงที่มีคุณภาพ (link quality) ก็มีความสำคัญมากกว่าการมีจำนวนลิงก์อยู่มาก (link quantity) นั่นเอง
หลักของการ สร้างลิ้งค์ (Link Building)
การสร้างลิ้งค์หรือ Link Building เป็นกระบวนการสำคัญในการทำ SEO ที่มุ่งเน้นการได้รับลิ้งค์ย้อนกลับมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการจัดอันดับในผลลัพธ์การค้นหาของ Google การมี backlinks จากเว็บไซต์ที่มี DA (Domain Authority) สูง ช่วยยืนยันความเชื่อถือได้ของเว็บไซต์ของคุณและเพิ่ม organic search traffic (การเข้าชมจากการค้นหาทั่วไป) ได้ดียิ่งขึ้น
Backlinks หรือลิงค์ย้อนกลับ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ จากข้อมูลของ Ahrefs – backlinks ทำหน้าที่เหมือนเป็น “การโหวต” ให้กับเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นๆ ยิ่งมีจำนวน Referring domains (ลิ้งค์จากเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน) มากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อการเพิ่มอันดับการค้นหามากขึ้นเท่านั้น
เทคนิคการสร้างลิ้งค์ย้อนกลับ – Backlinks
Broken Link Building
เป็นการหาลิงก์ที่ “เสีย” หรือไม่ทำงานแล้วในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เพื่อขอให้ลิงก์นั้นๆ ชี้ไปยังหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องและยังมีทราฟฟิกดีในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ทั้งเว็บไซต์ของคุณและเว็บไซต์อื่นๆ ได้ประโยชน์ร่วมกัน
Guest Blogging
หรือที่เรียกกันว่า Guest Post เป็นการเขียนบทความบล็อกในเว็บไซต์อื่น และขอให้เจ้าของบล็อกนั้นให้ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและสร้างความสัมพันธ์กับผู้เขียนบล็อกด้วย
The Skyscraper Technique
การหาบทความที่ได้รับลิงก์จำนวนมากแล้วนำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น การเพิ่มข้อมูลหรือทำให้เนื้อหามีคุณภาพสูงกว่าเดิม หลังจากนั้นก็ขอให้เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงไปยังบทความเดิมช่วยสร้างลิ้งค์เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณแทน
Resource Page Link Building
การได้ลิงก์จากหน้าเว็บที่รวบรวมแหล่งข้อมูลหรือทรัพยากรที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ในธุรกิจของคุณ มาช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
HARO (Help a Reporter Out)
การใช้บริการเช่น HARO ที่เชื่อมโยงกับนักข่าวหรือสื่อมวลชน เพื่อหาคำถามจากนักข่าวที่ต้องการคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ หากคุณสามารถให้คำตอบที่มีคุณภาพได้ ก็สามารถขอรับลิงก์กลับมาจากการเผยแพร่ในบทความของสำนักข่าวดังกล่าวได้
การสร้างลิ้งค์ย้อนกลับที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีความน่าเชื่อถือถือเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มอันดับการค้นหา Backlinks จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือช่วยยืนยันความเชื่อถือของเว็บไซต์และเพิ่ม Organic traffic การสร้างลิ้งค์เป็นส่วนที่ท้าทายแต่ก็สำคัญในกลยุทธ์ SEO ไม่แพ้การทำ On-Page ให้ดี
แนวโน้มของการทำ SEO ในปัจจุบัน
SEO มีรูปแบบการทำ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการที่เว็บไซต์ต่างๆ พยายามปรับแต่งเนื้อหาของตัวเองให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลลัพธ์การค้นหา ในช่วงแรกๆ การใช้เทคนิคเช่น การทำ keyword stuffing (การยัดคำค้นหาหลายๆ คำลงในเนื้อหา) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อทำให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับที่สูงเป็นต้น
ตามข้อมูลจาก Search Engine Land เขียนว่า SEO ได้รับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์มีวิธีการค้นหาข้อมูลบนเว็บที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้การปรับปรุง SEO ต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เพื่อให้ผลลัพธ์การค้นหามีความแม่นยำและมีคุณภาพมากขึ้นนั่นเอง และยังต้องเจอกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือค้นหาที่มีการอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึมของ Google ซึ่งต้องการให้เว็บไซต์ปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับด้วย
Local SEO คืออะไร?
Local SEO คือกลยุทธ์ที่ใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นธุรกิจของคุณในผลการค้นหาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ให้บริการลูกค้าในพื้นที่เฉพาะ หรือที่มีฐานลูกค้าในพื้นที่ท้องถิ่น โดยมีขั้นตอนและปัจจัยหลักๆ ดังนี้
- Google Business Profile
การสร้าง Google Business Profile หรือโปรไฟล์ธุรกิจใน Google จะช่วยให้ธุรกิจของคุณแสดงผลในส่วนที่เรียกว่า “map pack” ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงแผนที่และรายการของธุรกิจในผลลัพธ์การค้นหาท้องถิ่น โปรไฟล์นี้จะรวมถึงชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ ชั่วโมงการเปิดทำการ และรูปภาพของธุรกิจ - รีวิว (Reviews)
การขอให้ลูกค้าที่พอใจช่วยเขียนรีวิวในโปรไฟล์ GBP และเว็บไซต์รีวิวอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณ รีวิวที่ดีสามารถช่วยปรับปรุงอันดับการค้นหาในเครื่องมือค้นหาได้อย่างมีนัยยะสำคัญ - ใช้คำค้นหาที่มีเจตนาการค้นหาเฉพาะพื้นที่ (Keywords with Local Search Intent)
การใช้เครื่องมือ SEO เช่น Ahrefs Keywords Explorer ในการค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการท้องถิ่น (เช่น “รับทำเว็บไซต์เชียงใหม่”) เป็นต้น - ความสอดคล้อง (Consistency)
การเพิ่มข้อมูลที่ถูกต้องให้แน่ใจว่า ชื่อธุรกิจ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ (NAP) ของคุณมีความสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ของคุณ โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ไดเรกทอรี - การลงทะเบียนในไดเรกทอรี (Local Listings)
ลงทะเบียนธุรกิจของคุณในไดเรกทอรีออนไลน์ต่างๆ เช่น Yelp และเว็บไซต์ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เช่น บล็อกที่รีวิวร้านอาหารในพื้นที่ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาท้องถิ่น
เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการทำ Local SEO ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้าง Google Business Profile การขอรีวิวจากลูกค้า การใช้คำค้นหาท้องถิ่น การรักษาความสอดคล้องของข้อมูลธุรกิจ และการลงทะเบียนในไดเรกทอรีท้องถิ่น ก็จะช่วยดึงผู้ค้นหาที่อยู่ในพื้นที่นั้นๆเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้
ประเภทเฉพาะของการทำ SEO (SEO Specialties)
การทำ SEO ยังสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท หรือกลยุทธ์ย่อย ที่มีความเฉพาะเจาะจงกับประเภทของเว็บไซต์และธุรกิจต่างๆ ดังนี้
- Ecommerce SEO
SEO สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (Ecommerce SEO) มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ โดยการทำ SEO ในประเภทนี้จะเน้นที่การปรับปรุงหน้าผลิตภัณฑ์ การใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย - Enterprise SEO
SEO สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise SEO) เน้นการจัดการ SEO สำหรับเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อน เช่น เว็บไซต์ของบริษัทที่มีหลายหน้าหรือหลายส่วนที่ต้องการการจัดการ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรักษาความสอดคล้องของข้อมูล การจัดการคำค้นหาที่มีปริมาณสูงและการปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสม - International SEO
SEO สำหรับตลาดต่างประเทศ (International SEO) มุ่งเน้นการปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานจากประเทศต่างๆ โดยการปรับแต่งเนื้อหาให้รองรับหลายภาษา การใช้คำค้นหาที่มีความนิยมในแต่ละประเทศ และการใช้เทคนิคในการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับการแสดงผลลัพธ์การค้นหาตามตำแหน่งและภาษา - Local SEO
SEO สำหรับการค้นหาท้องถิ่น (Local SEO) เน้นการทำให้ธุรกิจที่ให้บริการในพื้นที่เฉพาะปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาท้องถิ่น การสร้างโปรไฟล์ธุรกิจใน Google การขอรีวิวจากลูกค้า และการใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่เป็นกลยุทธ์หลักที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถพบเจอกับลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ ได้ - News SEO
SEO สำหรับเว็บไซต์ข่าว (News SEO) มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาข่าวหรือบทความในเว็บไซต์ข่าว โดยการใช้เทคนิค SEO ที่เหมาะสมเพื่อให้ข่าวสารหรือข้อมูลทันสมัยปรากฏในผลลัพธ์การค้นหาของ Google News หรือในเครื่องมือค้นหาทั่วไป
ประเภทเฉพาะของการทำ SEO แต่ละประเภทนั้นมีการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของธุรกิจหรือเว็บไซต์นั้น ๆ โดยการเลือกประเภท SEO ที่ถูกต้องจะช่วยให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เทรนด์ SEO ที่น่าติดตาม
การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้งาน ซึ่งในปัจจุบันมีเทรนด์สำคัญที่คุณควรติดตามเพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในโลกออนไลน์ได้ โดนมีเทรนด์ที่น่าติดตามดังนี้
- Video SEO
การทำ SEO สำหรับวิดีโอ (Video SEO) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากการค้นหาผ่านวิดีโอมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้ YouTube หรือแพลตฟอร์มวิดีโออื่นๆ วิดีโอสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ชมมากขึ้นนั่นเอง
- SGE (Search Generative Experience หรือ AI Overview)
Google ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ AI ในการสร้างคำตอบที่ครบถ้วนสำหรับคำค้นหาต่างๆ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เรียกว่า SGE (Search Generative Experience) การติดตาม Google Search Essentials Guidelines จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในคำตอบที่สร้างจาก AI นี้ และเพิ่มโอกาสในการได้รับการมองเห็นในผลลัพธ์การค้นหาที่ปรับใช้ AI
- AI SEO
การใช้เครื่องมือ AI ใน SEO กำลังเป็นที่นิยมเนื่องจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเวลาในการทำงานหลายๆ อย่าง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสม และการปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ AI ช่วยให้สามารถทำ SEO ได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
- Information Gain
Information Gain คือวิธีการที่ Google ใช้ในการกำหนดคะแนนให้กับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพื่อประเมินความเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อหานั้นๆ เนื้อหาที่มีความเป็นต้นฉบับ เช่น การนำเสนอมุมมองใหม่ๆ หรือการวิจัยที่ไม่เหมือนใคร จะได้รับคะแนนสูง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลลัพธ์การค้นหา
การติดตามเทรนด์ SEO ใหม่ๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการปรับตัวและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะการทำ Video SEO การใช้ AI ในการช่วย SEO และการเข้าใจการประเมินคุณค่าของเนื้อหาผ่าน Information Gain จะช่วยให้คุณอยู่ในแถวหน้าของผลลัพธ์การค้นหาได้อย่างยั่งยืนแน่นอน
พร้อมทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นบนหน้าแรกของ Google แล้วหรือยัง?
เพราะการมีเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งด้วยกลยุทธ์ SEO อย่างมืออาชีพ คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
Rise Group Asia พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์ SEO ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและผลลัพธ์จริง เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
📞 ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อเริ่มต้นวันนี้
🔗 รับคำปรึกษาด้าน SEO ฟรี
ที่ปรึกษาธุรกิจ RGA Facebook: risegroupasia