STP Marketing คืออะไร? คู่มือสำคัญและวิธีนำไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์จริง

what is STP Marketing

STP Marketing คืออะไร? ทำไมแบรนด์ดังระดับโลกถึงให้ความสำคัญกับ STP? และคุณจะนำ STP ไปใช้เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างไร? พบคำตอบทั้งหมดได้ในคู่มือฉบับสมบูรณ์นี้ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ STP Marketing อย่างละเอียด สามารถอธิบายขั้นตอน Segmentation, Targeting, และ Positioning ได้อย่างถูกต้อง และเห็นถึงประโยชน์ของการนำ STP ไปใช้ในการทำการตลาด

Table of content

  1. STP Marketing คืออะไร?
  2. ทำไม STP ถึงสำคัญ?
  3. STP vs. Mass Marketing
  4. Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) ทำยังไง?
  5. Targeting (การเลือกตลาดเป้าหมาย) ทำยังไง?
  6. Positioning (การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์) ทำยังไง?
  7. ข้อควรระวังในการทำ STP Marketing

STP Marketing คืออะไร?

STP Marketing คือกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์ทางการตลาด (Strategic Marketing Framework) ที่เน้นการวางแผนและดำเนินงานโดยมี “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (Customer-Centric) แทนที่จะเน้นที่ผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดย STP เป็นตัวย่อที่มาจาก 3 ขั้นตอนหลักคือ

S = Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) การแบ่งตลาดขนาดใหญ่ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ที่มีลักษณะและความต้องการที่คล้ายคลึงกัน

T = Targeting (การเลือกตลาดเป้าหมาย) การประเมินและเลือกกลุ่มตลาดที่น่าสนใจที่สุดและมีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุด

P = Positioning (การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์) การสร้างภาพลักษณ์และความเข้าใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการให้แตกต่างและโดดเด่นในใจของลูกค้าเป้าหมาย

STP เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน โดย Positioning จะขึ้นอยู่กับการ Segmentation และ Targeting ที่มีประสิทธิภาพ (Segmentation + Targeting = Positioning) เป็นแนวทางที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer-Centric การทำ STP นั้นจึงมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจความต้องการ (Pain Points) และประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) เป็นหลัก

ทำไม STP ถึงสำคัญ?

ในยุคที่ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง การเข้าใจลูกค้า, การเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย, และการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งคือปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ เพราะ STP ช่วยให้ธุรกิจสร้างแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพและวัดผลได้จริง และยังเพิ่ม Conversion Rates (อัตราการเปลี่ยนจากผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า) สร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) และลดต้นทุนทางการตลาดโดยการโฟกัสที่ลูกค้าเป้าหมายความสำเร็จขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจลูกค้า การกำหนดเป้าหมายไปยังคนที่ใช่ และการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณนั่นเอง

STP vs. Mass Marketing

STP คือกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) เลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม (Targeting) และกำหนดตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์ (Positioning) เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำต่างจาก Mass Marketing หรือการตลาดแบบมวลชน คือการตลาดที่ใช้กลยุทธ์เดียวสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยก เป้าหมายคือการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุดด้วยข้อความและผลิตภัณฑ์เดียวกันลองมาดูตารางเปรียบเทียบกัน

ปัจจัยSTP MarketingMass Marketing
กลุ่มเป้าหมายเจาะจงเฉพาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มลูกค้าทั่วไป
กลยุทธ์การสื่อสารปรับให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายข้อความเดียวกันสำหรับทุกคน
ผลิตภัณฑ์/บริการออกแบบให้ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวที่เหมาะกับทุกคน
งบประมาณใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มเป้าหมายที่คุ้มค่าใช้งบประมาณมากเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม
ตัวอย่างแบรนด์Nike (แยกผลิตภัณฑ์ตามกลุ่มนักกีฬา), Mercedes-Benz (แบ่งตามระดับราคากลุ่มลูกค้า)Coca-Cola (แบรนด์เดียวสำหรับตลาดกว้าง)

จากตารางจะเห็นได้ว่า

  • Mass Marketing พยายามเข้าถึงทุกคนในตลาดด้วยข้อความเดียวกัน มองข้ามความแตกต่างของลูกค้าแต่ละคน มุ่งเน้นที่การผลิตจำนวนมากและการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมที่สุด
  • STP Marketing เน้นการแบ่งส่วนตลาด, เลือกตลาดเป้าหมาย, และวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ช่วยให้การตลาดมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากกว่า

ประโยชน์ของการเข้าใจ STP

การเข้าใจ STP (Segmentation, Targeting, Positioning) มีประโยชน์อย่างมากในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการ แบ่งส่วนตลาด (Segmentation) ช่วยให้ธุรกิจสามารถจำแนกลูกค้าออกเป็นกลุ่มตามปัจจัยต่างๆ เช่น พฤติกรรม ความต้องการ และลักษณะประชากรศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจตลาดได้ดีขึ้น

การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) ช่วยให้ธุรกิจเลือกกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสินค้าและบริการของตน ทำให้การสื่อสารทางการตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า สุดท้าย การวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างจุดยืนที่ชัดเจนในใจลูกค้า แตกต่างจากคู่แข่ง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การทำ STP อย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แข็งแกร่ง และเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

STP เป็นหนึ่งในโมเดลการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และถูกใช้อย่างแพร่หลายในธุรกิจทั่วโลก งานวิจัยทางการตลาดพบว่า การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (Targeted Marketing) สามารถเพิ่ม ROI ได้สูงกว่าการตลาดแบบกว้าง (Mass Marketing) ถึง 3-5 เท่า เนื่องจากช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปเราลองมาเจาะลึกกันในแต่ละส่วนว่ามีหลักการทำยังไง

1. Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด) ทำยังไง?

Segmentation หรือการแบ่งส่วนตลาด คือกระบวนการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่และมีความหลากหลาย (Heterogeneous Market) ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ที่มีลักษณะและความต้องการที่คล้ายคลึงกัน (Homogeneous Segments) 

วัตถุประสงค์หลักของการแบ่งส่วนตลาดคือการสร้างกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ธุรกิจสามารถออกแบบและนำเสนอผลิตภัณฑ์, บริการ, และแคมเปญการตลาดที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแบ่งส่วนตลาดเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดใน STP Marketing เพราะเป็นพื้นฐานในการกำหนดตลาดเป้าหมายและการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์

ทำไมต้องแบ่งส่วนตลาด?

เพราะการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation) ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ทั้งด้านของความต้องการ, ความชอบ, พฤติกรรม, และแรงจูงใจของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุ Pain Points และความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองของลูกค้าเพื่อการกำหนดเป้าหมายการตลาดส่วนอื่นๆ เช่น

  • Targeted Marketing Campaigns

ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างข้อความ (Messaging), เนื้อหา (Content), และข้อเสนอ (Offers) ที่ตรงใจและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และลดการสูญเสียทรัพยากรทางการตลาดในการเข้าถึงลูกค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง

  • Improved ROI

ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุด เพิ่มอัตราการตอบสนอง (Response Rate) และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate) ของแคมเปญการตลาดที่เราทำขึ้น

  • Customer Satisfaction

ช่วยให้ธุรกิจสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจและภักดีต่อแบรนด์ ในระยะยาว

  • Competitive Advantage

สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งโดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจลูกค้ามากกว่า ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าได้

เกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด (Segmentation Criteria) มีอะไรบ้าง

Segmentation STP Marketing

Segmentation Criteria เกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ แทนที่จะทำการตลาดแบบกว้าง ธุรกิจสามารถโฟกัสไปที่ลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ โดยการแบ่งส่วนตลาดมักใช้ เกณฑ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่

  • Demographics (ประชากรศาสตร์)

Demographics (ประชากรศาสตร์) หรือข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะส่วนบุคคลของลูกค้าเช่น อายุ, เพศ, รายได้, การศึกษา, อาชีพ, สถานภาพสมรส, ขนาดครอบครัว เป็นต้น ตัวอย่างการแบ่ง แบรนด์เครื่องสำอางอาจแบ่งส่วนตลาดตามอายุ (กลุ่มวัยรุ่น, กลุ่มวัยทำงาน, กลุ่มผู้สูงอายุ) และเพศ (ชาย, หญิง) เป็นต้น

  • ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก – มุ่งเน้นไปที่กลุ่มพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก
  • ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ – มุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้
  • Geography (ภูมิศาสตร์)

Geography (ภูมิศาสตร์) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับที่ตั้งของลูกค้า ประเทศ, ภูมิภาค, เมือง, เขต, สภาพอากาศ, ความหนาแน่นของประชากร ตัวอย่างการแบ่ง เช่น ร้านอาหารอาจแบ่งส่วนตลาดตามเขตที่ตั้ง (ในเมือง, ชานเมือง, ชนบท) และสภาพอากาศ (ร้อน, หนาว) เป็นต้น

  • เสื้อกันหนาว – มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีอากาศหนาว
  • เครื่องปรับอากาศ – มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่อาศัยในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน
  • Psychographics (จิตวิทยา)

Psychographics (จิตวิทยา) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์, ค่านิยม, ความสนใจ, ทัศนคติ, ความเชื่อ, บุคลิกภาพของลูกค้า ตัวอย่างการแบ่ง บริษัทท่องเที่ยวอาจแบ่งส่วนตลาดตามไลฟ์สไตล์ (นักผจญภัย, นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม, นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อน) และค่านิยม (รักธรรมชาติ, รักความหรูหรา, สนใจประวัติศาสตร์) เป็นต้น

  • ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก – มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
  • รถสปอร์ต – มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ชอบความเร็วและตื่นเต้น
  • Behavior (พฤติกรรม)

Behavior (พฤติกรรม) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อ, การใช้งานผลิตภัณฑ์, ความภักดีต่อแบรนด์, ความถี่ในการซื้อ, ปริมาณการซื้อ, โอกาสในการซื้อ, ผลประโยชน์ที่ต้องการ ตัวอย่างการแบ่งคือ ร้านค้าออนไลน์อาจแบ่งส่วนตลาดตามพฤติกรรมการซื้อ (ซื้อบ่อย, ซื้อเป็นครั้งคราว, ซื้อเฉพาะช่วงลดราคา) และความภักดีต่อแบรนด์ (ลูกค้าประจำ, ลูกค้าใหม่) เป็นต้น

  • โปรโมชั่นสะสมแต้ม – มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าประจำที่ซื้อสินค้าบ่อย
  • ข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ – มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ยังไม่เคยซื้อสินค้าบริการมาก่อน

ด้านการแบ่งส่วนการตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ต้องมีผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้ในเชิงปริมาณ เช่นขนาด, รายได้ หรือ จำนวนลูกค้า และสามารถเข้าถึงและสื่อสารกับส่วนตลาดได้โดยใช้ช่องทางการตลาดที่มีอยู่ รวมทั้งส่วนตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งยังสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับส่วนตลาดไปใช้ในการวางแผนและดำเนินงานทางการตลาดได้จริงนั่นเอง

2. Targeting (การเลือกตลาดเป้าหมาย) ทำยังไง?

Targeting หรือการเลือกตลาดเป้าหมาย คือกระบวนการประเมินและเลือกส่วนตลาด (Market Segments) ที่ธุรกิจตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นความพยายามทางการตลาดทั้งหมดไปที่ส่วนตลาดนั้นๆ 

เป้าหมายของการเลือกตลาดเป้าหมายคือการระบุกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุด และมีความสอดคล้องกับเป้าหมายและทรัพยากรของบริษัทมากที่สุด การเลือกตลาดเป้าหมายเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะส่งผลต่อการตัดสินใจในการวางแผนกลยุทธ์การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การจัดจำหน่าย และการสื่อสารการตลาด

ทำไมต้องเลือกตลาดเป้าหมาย?

เกณฑ์ในการเลือกตลาดเป้าหมายนั้นจะดูว่า ตลาดมีขนาดใหญ่พอที่จะสร้างรายได้และผลกำไรที่น่าพอใจหรือไม่? ทั้งพิจารณาจำนวนลูกค้าเป้าหมายที่มีอยู่ในตลาด มูลค่าการซื้อโดยเฉลี่ย และความถี่ในการซื้อ ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจขายสินค้าหรูหราราคาแพง ตลาดเป้าหมายอาจมีขนาดเล็ก แต่มีกำลังซื้อสูง และดูแนวโน้มปัจจัยสำคัญอื่นๆ อีกเช่น

  • Growth (การเติบโต)

ดูว่าตลาดมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคตหรือไม่? พิจารณาอัตราการเติบโตของตลาด แนวโน้มของอุตสาหกรรม และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลกระทบต่อตลาด ตัวอย่างเช่น ตลาดสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี มักมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นต้น

  • Accessibility (ความสามารถในการเข้าถึง)

ดูว่าธุรกิจสามารถเข้าถึงและสื่อสารกับตลาดเป้าหมายได้ง่ายหรือไม่? โดยพิจารณาช่องทางการตลาดที่มีอยู่ ต้นทุนในการเข้าถึงตลาด และอุปสรรคในการเข้าถึงตลาด (เช่น ข้อกำหนดทางกฎหมาย) ตัวอย่างเช่น หากตลาดเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น การใช้สื่อสังคมออนไลน์อาจเป็นช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าการโฆษณาในหนังสือพิมพ์

  • Profitability (ความสามารถในการทำกำไร)

ดูแนวโน้มของตลาดว่ามีศักยภาพในการสร้างผลกำไรหรือไม่? โดยการพิจารณาอัตรากำไรขั้นต้น ต้นทุนในการดำเนินงาน และการแข่งขันในตลาด ตัวอย่างเช่น ตลาดที่มีการแข่งขันสูง อาจมีอัตรากำไรต่ำกว่าตลาดที่มีการแข่งขันน้อย เป็นต้น

  • Alignment (ความสอดคล้อง)

ดูว่าตลาดสอดคล้องกับเป้าหมาย ค่านิยม และทรัพยากรของบริษัทหรือไม่? โดยพิจารณาความสามารถของบริษัทในการตอบสนองความต้องการของตลาด ความสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และความพร้อมของทรัพยากร ตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีทรัพยากรจำกัด อาจเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญจะดีกว่า

เกณฑ์ในการเลือกตลาดเป้าหมาย (Targeting Criteria) มีอะไรบ้าง?

Targeting Criteria

หลังจากแบ่งส่วนตลาด (Segmentation) ธุรกิจต้องเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมผ่านกระบวนการ Targeting เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี 4 เกณฑ์หลัก ได้แก่ 

  • Undifferentiated Marketing (การตลาดแบบไม่แตกต่าง)

Undifferentiated Marketing (การตลาดแบบไม่แตกต่าง) คือการที่ธุรกิจพยายามจะเข้าถึงตลาดโดยรวมด้วยผลิตภัณฑ์และข้อความทางการตลาดเดียวกัน มีจุดมุ่งเน้นไปที่ความต้องการที่เหมือนกันของลูกค้าทุกคน และละเลยความแตกต่างไป เหมาะสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ที่มีความต้องการพื้นฐานเหมือนกัน 

โดยสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 

Hard Commodity – สินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดจากทรัพยากรธรรมชาติและมีปริมาณจำกัด ใช้แล้วหมดไป เช่น ทองคำ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และแร่ธาตุต่างๆ
Soft Commodity – สินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้จากการเกษตรหรือการผลิตของมนุษย์ มีอายุการเก็บรักษาจำกัด เช่น ยางพารา พืชผลทางการเกษตร และสินค้าเกษตรอื่นๆ

  • Differentiated Marketing (การตลาดแบบแตกต่าง)

Differentiated Marketing (การตลาดแบบแตกต่าง) คือการที่ธุรกิจเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่หลายส่วนตลาด และพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละส่วนตลาด โดยพยายามที่จะตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย และต้องการเข้าถึงลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น รถยนต์, เครื่องสำอาง

  • Concentrated Marketing (การตลาดแบบมุ่งเน้น)

Concentrated Marketing (การตลาดแบบมุ่งเน้น) คือการที่ธุรกิจเลือกที่จะมุ่งเน้นความพยายามทางการตลาดทั้งหมดไปที่ส่วนตลาดเดียวที่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงสุด เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีทรัพยากรจำกัด และต้องการสร้างความเชี่ยวชาญในตลาดเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม เช่น สินค้าสำหรับผู้แพ้อาหาร เป็นต้น

  • Micromarketing (การตลาดแบบจุลภาค)

Micromarketing (การตลาดแบบจุลภาค) คือการที่ธุรกิจปรับแต่งผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย (One-to-One Marketing) หรือลูกค้าในท้องถิ่น (Local Marketing) เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า และนำเสนอประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวตัวอย่างเช่น ร้านตัดเสื้อที่ให้บริการตัดชุดตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย, ร้านอาหารที่ปรับเมนูตามความชอบของลูกค้าในท้องถิ่น เป็นต้น

การเลือกตลาดเป้าหมาย ช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพสูงสุด สร้างโอกาสในการเติบโต และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน การเข้าถึงลูกค้าอย่างแท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การเลือกเป้าหมายที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังต้องมีการวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ที่ชัดเจน เพื่อทำให้แบรนด์โดดเด่นและเป็นที่จดจำในใจลูกค้า โดยที่จะพูดในหัวข้อถัดไป

3. Positioning (การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์) ทำยังไง?

Positioning หรือการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ คือกระบวนการสร้างภาพลักษณ์และความเข้าใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการให้แตกต่างและโดดเด่นในใจของลูกค้าเป้าหมาย เมื่อเทียบกับคู่แข่ง 

การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไม่ใช่แค่การบอกว่าผลิตภัณฑ์ของคุณคืออะไร แต่เป็นการบอกว่าทำไมลูกค้าถึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ของคุณมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาด โดยเป้าหมายของการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์คือการสร้างความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างผลิตภัณฑ์และลูกค้าเป้าหมาย โดยการสื่อสารถึงคุณค่า ประโยชน์ และความแตกต่างที่ลูกค้าจะได้รับนั่นเอง

ทำไมต้องวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์?

การสร้างความแตกต่างและทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำในใจลูกค้า ซึ่งเรียกว่า การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Positioning) การแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบันมีความเข้มข้นสูง ทำให้ไม่เพียงพอที่สินค้าหรือบริการจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า แต่ยังต้องมี 

  • สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง (Differentiation)

ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดที่มีการแข่งขันสูง สร้างเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมลูกค้าถึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ของคุณ

  • สร้างภาพลักษณ์ที่ชัดเจน (Clear Brand Image)

ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและสอดคล้องกันในใจของลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายและเข้าใจถึงคุณค่าที่คุณนำเสนอ

  • ดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย (Attract Target Customers)

ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของคุณดึงดูดลูกค้าเป้าหมายที่กำลังมองหาคุณค่าและประโยชน์ที่คุณนำเสนอ ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความภักดีต่อแบรนด์

วิธีการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Positioning Strategies)

Positioning Strategies

เมื่อเข้าใจถึงความสำคัญของการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Positioning) แล้ว ธุรกิจต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการสร้างภาพลักษณ์และความแตกต่างของแบรนด์ในใจลูกค้า การวางตำแหน่งที่ดีช่วยให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่จดจำและได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมาย โดยมีกลยุทธ์หลักคือ

  • Attribute Positioning (วางตำแหน่งตามคุณสมบัติ)

เน้นคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ เช่น เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด, ส่วนผสมพิเศษ, หรือดีไซน์ที่สวยงาม ตัวอย่างเช่น “Volvo – รถยนต์ที่ปลอดภัยที่สุดในโลก” (เน้นคุณสมบัติเรื่องความปลอดภัย)

  • Benefit Positioning (วางตำแหน่งตามประโยชน์)

เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เช่น ประหยัดเวลา เพิ่มความสะดวกสบาย หรือแก้ปัญหาเฉพาะ ตัวอย่างเช่น “Head & Shoulders – ขจัดรังแคอย่างมีประสิทธิภาพ” (เน้นประโยชน์ในการขจัดรังแค)

  • Price Positioning (วางตำแหน่งตามราคา)

เน้นราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง (Value Positioning) หรือราคาสูงกว่าคู่แข่ง (Premium Positioning) ตัวอย่างเช่น “Xiaomi – สินค้าคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้” (เน้นราคาที่คุ้มค่า) หรือ “Rolex – นาฬิกาสุดหรูสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ” (เน้นราคาที่แสดงถึงความหรูหรา) เป็นต้น

  • Quality Positioning (วางตำแหน่งตามคุณภาพ)

เน้นคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น วัสดุที่ดีกว่า, กระบวนการผลิตที่พิถีพิถัน, หรือการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตัวอย่างเช่น “Mercedes-Benz – วิศวกรรมยานยนต์ระดับโลก” (เน้นคุณภาพและความทนทาน) เป็นต้น

  • Competitor Positioning (วางตำแหน่งโดยเปรียบเทียบกับคู่แข่ง)

วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์โดยการเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยตรง โดยเน้นข้อดีที่เหนือกว่า หรือข้อเสียของคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น “Pepsi Challenge – ทดสอบรสชาติและตัดสินด้วยตัวคุณเอง” (เปรียบเทียบรสชาติกับ Coca-Cola) ทางอ้อมเป็นต้น

วิธีสร้าง Positioning Statement ทำยังไง?

Positioning Statement คือข้อความสั้นๆ ที่สรุปตำแหน่งที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ในใจของลูกค้าเป้าหมาย โดยเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดทิศทางของแบรนด์และสื่อสารคุณค่าหลักให้ชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าทำไมสินค้าหรือบริการจึงแตกต่างและดีกว่าคู่แข่ง Positioning Statement ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้

  1. Target Customer (ลูกค้าเป้าหมาย) ใครคือลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง?
  2. Product/Brand (ผลิตภัณฑ์/แบรนด์) ผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ของคุณคืออะไร?
  3. Frame of Reference (กรอบอ้างอิง) ผลิตภัณฑ์ของคุณอยู่ในประเภทใด?
  4. Point of Difference (จุดแตกต่าง) อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณแตกต่างและดีกว่าคู่แข่ง?
  5. Reason to Believe (เหตุผลที่น่าเชื่อถือ) อะไรคือหลักฐานที่สนับสนุนจุดแตกต่างของคุณ?

“For [Target Customer] who want [Frame of Reference], [Product/Brand] is the only [Category] that [Point of Difference] because [Reason to Believe].”

จากองค์ประกอบจะได้  “สำหรับนักเดินทางที่ต้องการความสะดวกสบาย, Grab คือแอปพลิเคชันเรียกรถที่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย เพราะเรามีคนขับที่ได้รับการตรวจสอบและราคาที่โปร่งใส

การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ โดยใช้ Perceptual Map (แผนภาพการรับรู้)

Perceptual Map

Perceptual Map (แผนภาพการรับรู้) เป็นแผนภาพที่ใช้แสดงตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในตลาด โดยอิงตามคุณสมบัติหรือปัจจัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญ ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าลูกค้ามองผลิตภัณฑ์ของตนเองอย่างไร เมื่อเทียบกับคู่แข่ง และให้ธุรกิจสามารถระบุช่องว่างในตลาดและโอกาสในการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใหม่ได้

ข้อควรระวังในการทำ STP Marketing

การทำ STP Marketing ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป หากทำผิดพลาด อาจทำให้เสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย หรือสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับแบรนด์ การเข้าใจข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและรู้วิธีหลีกเลี่ยง จะช่วยให้ธุรกิจสามารถนำ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยง แล้วมีอะไรที่ต้องระวังบ้างไปดูกัน

  1. การแบ่งส่วนตลาดที่มากเกินไป (Over-segmentation)

การแบ่งส่วนตลาดออกเป็นกลุ่มย่อยๆ มากเกินไป จนทำให้แต่ละกลุ่มมีขนาดเล็กเกินไปหรือไม่คุ้มค่าที่จะทำการตลาด ทั้งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุนในการบริหารจัดการ ลดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด เนื่องจากแต่ละแคมเปญต้องใช้งบประมาณในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าจำนวนน้อย และยากที่จะสร้างความภักดีต่อแบรนด์ เนื่องจากลูกค้าอาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

  • วิธีแก้ไข
    • ใช้เกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาดที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
    • รวมกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกัน
    • ประเมินศักยภาพในการทำกำไรของแต่ละส่วนตลาดก่อนตัดสินใจทำการตลาด
  1. การเลือกตลาดเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม (Inappropriate Targeting)

การเลือกส่วนตลาดที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย ทรัพยากร หรือความสามารถของบริษัท อาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ในการเข้าถึงตลาดที่ไม่เหมาะสม

  • วิธีแก้ไข
    • ประเมินเกณฑ์ในการเลือกตลาดเป้าหมายอย่างรอบคอบ (ขนาด, การเติบโต, ความสามารถในการเข้าถึง ความสามารถในการทำกำไร ความสอดคล้อง)
    • วิเคราะห์ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าเป้าหมาย
    • ประเมินความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในตลาดนั้น
  1. การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่ไม่ชัดเจนกับเป้าหมาย (Unclear or Irrelevant Positioning)

การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่เข้าใจ ไม่น่าเชื่อถือ หรือไม่เกี่ยวข้องกับความต้องการของพวกเขา อาจทำให้ลูกค้าไม่สามารถแยกแยะผลิตภัณฑ์ของคุณจากคู่แข่งได้ หรือลูกค้าไม่เห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของคุณจนทำให้ลูกค้าไม่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ

  • วิธีแก้ไข
    • สร้าง Positioning Statement ที่ชัดเจน สั้นกระชับ และสื่อสารถึงคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Positioning ของคุณสอดคล้องกับความต้องการ ความคาดหวัง และความเชื่อของลูกค้าเป้าหมาย
    • สื่อสาร Positioning ของคุณอย่างสม่ำเสมอในทุกช่องทางและทุกแคมเปญการตลาด
  1. การละเลยการเปลี่ยนแปลงของตลาด (Ignoring Market Dynamics)

การไม่ปรับปรุง STP ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีหรือการแข่งขัน อาจส่งผลให้ญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

  • วิธีแก้ไข
    • ติดตามแนวโน้มของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ
    • ทบทวนและปรับปรุง STP Marketing เป็นประจำ
    • ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ตลาดและลูกค้า
    • พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อจำเป็น

การทำอาจมีข้อผิดพลาดที่ต้องระวัง เช่น การแบ่งส่วนตลาดมากเกินไป เลือกตลาดเป้าหมายไม่เหมาะสม วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ไม่ชัดเจน หรือละเลยการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ ธุรกิจควรทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง วางแผนอย่างรอบคอบ และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

STP Marketing นั้นเป็นกรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนและดำเนินงานทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” การนำ STP Marketing ไปใช้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแคมเปญที่ตรงเป้าหมาย สื่อสารข้อความที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการนำ STP Marketing ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ Rise Group Asia พร้อมเป็นผู้ช่วยคุณ ด้วยทีมที่ปรึกษาธุรกิจผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่หลากหลาย เราจะช่วยคุณวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า แบ่งส่วนตลาดที่เหมาะสม เลือกตลาดเป้าหมายที่ใช่ และวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ติดต่อ Rise Group Asia วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรีและเริ่มต้นการเดินทางสู่ความสำเร็จทางการตลาด!

Facebook www.facebook.com/risegroupasia