Business Consultant (ที่ปรึกษาธุรกิจ) คือใคร? จำเป็นต่อธุรกิจคุณแค่ไหน

what is Business Consultant

คุณรู้หรือไม่ว่า 20% ของธุรกิจขนาดเล็กมักล้มเหลวในปีแรก และประมาณ 50% ไม่สามารถเติบโตได้เกินปีที่ 5 เมื่อเข้าปีที่ 10 มีธุรกิจที่ยังเติบโตต่อไปได้แค่ 30% เท่านั้น อ้างอิงจากรายงานสำนักงานบริหารธุรกิจขนาดเล็ก (SBA) สหรัฐอเมริกา สาเหตุส่วนใหญ่นั้นมาจากการวางแผนกลยุทธ์ที่ไม่ดี ทั้งยังขาดข้อมูลและช่องทางรวมถึงแผนธุรกิจที่เหมาะสม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Business Consult หรือ ที่ปรึกษาธุรกิจ ว่าคือใคร ทำไมการมีที่ปรึกษาถึงสำคัญสำหรับความสำเร็จระยะยาวของธุรกิจคุณ

Table of content

  1. Business Consultant (ที่ปรึกษาธุรกิจ) คือใคร?
  2. Business Consultant มีกี่ประเภทอะไรบ้าง
  3. ทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงต้องมี Business Consultant?
  4. ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาหรือไม่?
  5. วิธีเลือกที่ปรึกษาธุรกิจให้เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ
  6. แบบทดสอบ ธุรกิจของคุณต้องการที่ปรึกษาธุรกิจหรือไม่?
Business consultant image

Business Consultant (ที่ปรึกษาธุรกิจ) คือใคร?

Business Consultant (ที่ปรึกษาธุรกิจ) คือ ผู้เชี่ยวชาญเป็นบุคคลหรือบริษัทที่ดำเนินการให้คำปรึกษา คำแนะนำทางด้านกลยุทธ์และการดำเนินธุรกิจ มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้บริษัทหรือองค์กรบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่ปรึกษาธุรกิจมีบทบาทในหลากหลายด้าน เช่น การวางแผนธุรกิจ พัฒนากลยุทธ์การตลาด ปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน วิเคราะห์ข้อมูล การจัดการความเสี่ยง หรือการช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยให้คำแนะนำจากผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในสาขาต่างๆ นั่นเอง

เมื่อเทียบกับการจ้างพนักงานประจำ การจ้างที่ปรึกษาธุรกิจอาจช่วยลดต้นทุนได้มากกว่า เพราะบริษัทไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการหรือผลประโยชน์อื่นๆ เหมือนกับพนักงานประจำ อีกทั้งกระบวนการเริ่มงานก็ง่ายกว่า ไม่ยุ่งยาก และที่ปรึกษามักมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้สามารถเรียนรู้งานและปรับตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้ต้นทุนทางอ้อมลดลงอย่างมาก

โดยทั่วไปที่ปรึกษาธุรกิจยังสามารถให้บริการกับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาด SME ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วที่ปรึกษาธุรกิจนั้นจะแบ่งออกเป็นประเภทย่อยตามการทำงานจากหลายส่วน ดังหัวข้อต่อไป

Business Consultant มีกี่ประเภทอะไรบ้าง

Business Consultant มีอยู่ 7 ประเภทหลักๆ โดยแต่ละประเภทนั้นจะมุ่งเน้นในการช่วยแก้ไขปัญหาให้คำแนะนำหรือเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ของธุรกิจ ทุกประเภทนั้นมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตและปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยทั้ง 7 ประเภทมีรายละเอียดดังนี้

1. ที่ปรึกษากลยุทธ์ (Strategy Consultant)

ที่ปรึกษากลยุทธ์ หรือ (Strategy Consultant) จะเน้นไปที่การช่วยธุรกิจวางแผนกลยุทธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตัวอย่างเช่น การขยายตลาด หาช่องทางการตลาดใหม่ๆ รวมไปถึงการวางแผนการเติบโตในอนาคต โดยจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและแนะนำแนวทางที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

2. ที่ปรึกษาการตลาด (Marketing Business Consultant)

ที่ปรึกษาด้านการตลาด หรือ (Marketing Consultant) จะเน้นไปที่การช่วยเหลือและพัฒนากลยุทธ์ด้านการตลาด การวิจัยตลาด กำหนดเป้าหมาย การสร้างแคมเปญโฆษณา และการจัดการช่องทางการขาย รวมไปถึงโปรโมชั่น โดยเน้นไปที่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยที่นิยมกันในตอนนี้จะเป็นในส่วนของ การตลาดแบบดิจิตอล ที่เน้นไปที่ 

  • Customer Insight เชิงลึก 
  • การใช้เครื่องมืออย่าง AI 
  • content creator, KOC, KOL
  • Website / Platform
  • SEM (SEO/SEA)

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง KOC, KOL ที่มีอิทธิพลด้านความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในการรีวิวตัวสินค้าและบริการ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า และสร้างกระแสบอกต่ออย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

3. ที่ปรึกษาการเงิน (Financial Consultant)

ที่ปรึกษาการเงิน หรือ (Financial Consultant) จะเน้นไปที่การช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารการเงิน การวางแผนภาษี การลงทุน การจัดการหนี้สิน และการจัดการความเสี่ยงทางการเงิน โดยหลักแล้วที่ปรึกษาการเงินจะช่วยธุรกิจในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์-ต้นทุนและวางแผนรับมือทางการเงินเพื่อให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินอยู่เสมอ

4. ที่ปรึกษาด้านการดำเนินงาน (Operations Consultant)

ที่ปรึกษาด้านการดำเนินงาน หรือ (Operations Consultant) จะมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมไปถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เสริมสร้างการสื่อสารกันภายในองค์กร และจัดหรือฝึกอบรมทักษะให้แก่พนักงานให้มีทักษะการทำงานที่ดีมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัทเติบโตขึ้นไปอีกขั้น

5. ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี (IT Consultant)

ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี หรือ (IT Consultant) จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยธุรกิจเลือกและพัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมตอบโจทย์การดำเนินงาน เช่น 

  • ระบบซอฟต์แวร์ / ฮาร์ดแวร์
  • การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 
  • การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในธุรกิจ 

รวมไปถึงการปรับปรุงระบบที่มีอยู่แล้ว หรือการเปลี่ยนระบบใหม่ เช่นการ Migration เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้กับบริษัท/องค์กร

6. ที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR Consultant)

ที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ หรือ (HR Consultant) จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยในการจัดการบริหารงานบุคคล ทั้งหมดเช่น การจ้างงาน การฝึกอบรม การพัฒนาทีมงาน และการปรับปรุงระบบการประเมินผล KPI ของพนักงาน จะช่วยให้ธุรกิจมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของพนักงานด้วย

7.ที่ปรึกษาการจัดการความเสี่ยง (Risk Management Consultant)

ที่ปรึกษาการจัดการความเสี่ยง หรือ  (Risk Management Consultant) จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยระบุและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจทั้งด้านของ

  • การเงิน
  • การดำเนินงาน
  • ภาพรวมขององค์กร

พร้อมจัดทำแผนการลด กระจายรวมถึงโอนถ่ายความเสี่ยง ทั้งพัฒนากลยุทธ์ในการลดหรือจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคงนั่นเองด้วยเหตุนี้ การมี Business Consult จึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจยุคใหม่ จำเป็นยังไงลองมาดูหัวข้อถัดมาได้เลย

ทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงต้องมี Business Consultant?

ทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงต้องจ้างที่ปรึกษาธุรกิจ เราต่างรู้กันดีว่าการแข่งขันทางธุรกิจนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจก็ดุเดือดเพราะมีการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์อย่างต่อเนื่อง การมีที่ปรึกษาธุรกิจ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจยุคใหม่อย่างมาก เพราะงานของที่ปรึกษาธุรกิจจะช่วยให้บริษัทสามารถปรับตัวและเติบโตได้ดีและกล้ารับกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาความได้เปรียบในตลาดเอาไว้ได้ ดังนั้นข้อดีของการจ้างที่ปรึกษาธุรกิจ จะมีส่วนหลักๆ ดังนี้

ทำให้ธุรกิจปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น 

ตลาดและความต้องการของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่ปรึกษาธุรกิจสามารถช่วยธุรกิจในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ทันเวลา

สามารถใช้และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การมีที่ปรึกษาธุรกิจช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การปรับลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และหาแนวทางวิธีการในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากที่สุด

เสริมการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์

ที่ปรึกษาธุรกิจจะเข้ามาช่วยวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจในแต่ละช่วง พร้อมทั้งแนะนำกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในตลาด ไม่ว่าจะเป็นด้านการโปรโมท การบริหารจัดการ หรือทางการเงิน

สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

โซลูชั่นเทคโนโลยีและ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ปรึกษาธุรกิจที่มีผู้เชี่ยวชาญแต่ะละด้านสามารถแนะนำแนวโน้มใหม่สำหรับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง ระบบการทำงานของบริษัท ให้รับมือกับความท้าทาย และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อยู่ตลอด

เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการตัดสินใจ

ที่ปรึกษาธุรกิจจะช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และทำให้การดำเนินงานรวดเร็วขึ้น รวมถึงการสนับสนุนการตัดสินใจ ทำให้การวางแผนกลยุทธ์และการตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตอบได้เลยว่า Business Consult ช่วยให้ธุรกิจคุณมองเห็นโอกาส ลดความเสี่ยง สร้างแผนงานที่เหมาะสมกับเป้าหมายของธุรกิจ ให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและพร้อมรับมือกับความท้าทาย การลงทุนในการจ้างที่ปรึกษาธุรกิจคือหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนระยะยาว แต่แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจของคุณต้องการที่ปรึกษาหรือไม่ ลองเช็คสัญญาณสำคัญได้ในหัวข้อถัดไป

ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาหรือไม่? ลองเช็คสัญญาณสำคัญ!

ธุรกิจจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาหรือไม่นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบัน แนวโน้มของตลาดมีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างมากทั้งยังเกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ รวมถึงคู่แข่งจากร้านค้าออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ทำการตลาดบน E-marketplace และกลุ่ม Modern grocery ที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ปัญหามากขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงต้องเผชิญกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ไม่ได้ตามเป้า กลยุทธ์เกิดความไม่ชัดเจน หรือการขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

หากคุณกำลังสงสัยว่า ธุรกิจของคุณต้องการที่ปรึกษาหรือไม่ ลองพิจารณาจาก 4 สัญญาณสำคัญดังนี้”

1. ธุรกิจเติบโตช้า หรือไม่มีแผนระยะยาว

หากธุรกิจของคุณยังใช้แผนกลยุทธ์การตลาดแบบเดิมๆ และไม่ได้ผลตอบแทนดีนัก หรือยังไม่มีการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลที่นิยม การพัฒนากลยุทธ์การตลาดด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญการตลาดทั้งส่วนของ Social, SEM, Influencer ที่สามารถเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจได้

2. ขาดความเชี่ยวชาญในบางด้าน

การดำเนินธุรกิจต่างก็มีด้านที่ซับซ้อนอยู่ เช่น การตลาด การเงิน เทคโนโลยี หรือการพัฒนาธุรกิจ หากคุณพบว่าทีมหรือบุคลากรของคุณยังขาดทักษะหรือความรู้เฉพาะทางในด้านนั้นๆ การใช้ที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์จะช่วยเติมเต็มจุดที่ขาดไป และทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นด้วย

3. ต้องการขยายธุรกิจแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร

การขยายธุรกิจเป็นเป้าหมายที่ดี แต่หากไม่มีแผนที่ชัดเจน อาจเสี่ยงต่อการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ที่ปรึกษาธุรกิจสามารถช่วยวิเคราะห์ตลาด ค้นหาโอกาสใหม่ๆ และวางกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขา การบุกตลาดใหม่ หรือการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ

4. ธุรกิจของคุณยังไม่ได้นำ AI และเทคโนโลยีมาใช้เต็มรูปแบบ

เทคโนโลยีอย่าง AI, Big Data เข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว หากธุรกิจของคุณยังไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ อาจทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง ที่ปรึกษาธุรกิจสามารถช่วยให้คุณก้าวไปในยุค Digital Transformation เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวทันอนาคต

แล้วจะเลือกที่ปรึกษาธุรกิจยังไงมีเกณฑ์การตัดสินใจยังไงลองอ่านต่อได้ในหัวข้อถัดไป

เลือก Business Consultant ที่ปรึกษาธุรกิจยังไง ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

จะเลือกที่ปรึกษาธุรกิจยังไงให้เหมาะสมกับธุรกิจ การเลือกที่ปรึกษาธุรกิจให้มีความเหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุด เริ่มจากการทำความเข้าใจความต้องการเฉพาะขององค์กรธุรกิจและคัดกรองผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติตรงกับโจทย์และความต้องการที่ตั้งเป้าหมายไว้ คือ

1. ระบุความต้องการของธุรกิจคุณ

การระบุความต้องการของธุรกิจคุณ ก่อนเริ่มค้นหาที่ปรึกษาธุรกิจควร กำหนดว่าคุณต้องการคำแนะนำด้านใดมากที่สุด เท่าที่เห็นมาหลายๆ คนที่เคยใช้บริการกับที่ปรึกษาธุรกิจแล้วไม่เป็นที่พอใจมาจากการขาดความชัดเจนในวัตถุประสงค์ตั้งต้นโดยแบ่งเป็น

1.1 เป้าหมายเชิงปริมาณ

ทำให้เข้าใจง่ายโดยจะยกตัวอย่าง เช่น

  • เพิ่มยอดขายออนไลน์ 20% ภายใน 12 เดือน
  • ลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา 30%
  • เพิ่ม Conversion Rate บนเว็บไซต์ขึ้น 2 เท่า
  • ขยายฐานลูกค้าใหม่ 50,000 รายผ่านทาง Influencer & KOL Marketing เป็นต้น

1.2 เป้าหมายเชิงคุณภาพ

โดยจะยกตัวอย่าง เช่น

  • สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในสินค้าและบริการ
  • สร้างความพึงพอใจและความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
  • สร้าง Community กลุ่มผู้ติดตามที่สนใจด้านสินค้าและบริการของเรา เป็นต้น

พร้อมทั้งกำหนดขอบเขตงานที่ชัดเจนที่ครอบคลุมช่วยลดความคลาดเคลื่อนในการทำงานร่วมกันเช่น ประเด็นปัญหาเฉพาะที่ต้องการแก้ไข ผลลัพธ์ที่คาดหวังในแต่ละระยะ ข้อจำกัดและเงื่อนไขอื่นๆ

2. ประเมินคุณสมบัติของบริษัทที่ปรึกษา

ให้ประเมินคุณสมบัติของบริษัทที่ปรึกษา บริษัทที่ปรึกษาที่มีคุณภาพควรมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนใน 4 ด้านหลัก นั่นได้แก่ ความเชี่ยวชาญ กลยุทธ์ ทรัพยากร และผลลัพธ์ ลงรายละเอียดคือ

2.1 ความเชี่ยวชาญ (Expertise) 

บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ มีประสบการณ์ตรงในธุรกิจที่ให้คำปรึกษา เช่น Digital Marketing, SEO, Business Strategy มีประสบการณ์จริงในตลาด และเข้าใจแนวโน้มขอธุรกิจได้ดี

2.2 กลยุทธ์และแนวทางการทำงาน (Strategic Approach) 

มีการวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ นำเสนอแนวทางที่ชัดเจน เช่น SEO Strategy, Lead Generation Plan, Performance Marketing Roadmap ไม่ใช้แผนเดียวกันทุกกรณี แต่ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายและข้อจำกัดของลูกค้า

2.3 มีทรัพยากรและเครื่องมือ (Resources & Tools)

มีทรัพยากรและเครื่องมืออย่าง เทคโนโลยีที่ทันสมัยสามารถเข้าถึง Influencers, KOLs, นักพัฒนาเว็บ, ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีแดชบอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลและรีพอร์ตที่โปร่งใส

2.4 ความน่าเชื่อถือ (Reliability)

มีผลงานที่พิสูจน์ได้ มีเคสตัวอย่างหรือกรณีศึกษาที่แสดงถึงความสำเร็จให้คำปรึกษาแบบตรงไปตรงมา ไม่เน้นขายบริการเกินจริง ไม่ใช่แค่การวางแผนเติบโตระยะสั้น แต่ช่วยธุรกิจวางรากฐานเพื่อความสำเร็จระยะยาว

3. ระบบการทำงานที่วัดผลได้

ที่ปรึกษาธุรกิจมีระบบการทำงานที่วัดผลได้ เน้นความสำคัญของการกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPIs) ที่เป็นรูปธรรม เช่น 

  • อัตราการเติบโตของรายได้ 
  • อัตราการเพิ่มลูกค้าใหม่ 
  • การลดต้นทุนการดำเนินงาน เป็นต้น

เพราะส่งผลให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง

4. ความปลอดภัย

ความปลอดภัย เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเมื่อเลือกที่ปรึกษาธุรกิจ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณจะไม่มีข้อมูลที่รั่วไหลออกไปยังคู่แข่งหรือถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์อื่น รวมถึงมีมาตรการปกป้องข้อมูลของที่ปรึกษาอย่างละเอียด รวมถึงมาตรฐานด้านการจัดการข้อมูลด้วย

การทดลองทำงานร่วมกันเบื้องต้นจะช่วยให้เห็นความเข้ากันได้ระหว่างทีมงานของคุณกับที่ปรึกษา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการให้คำปรึกษาจะส่งเสริมการเติบโตและความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจคุณได้อย่างยั่งยืนต่อไป

“หากคุณยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจของคุณจำเป็นต้องมีที่ปรึกษาหรือไม่?” ลองทำแบบทดสอบต่อไปนี้ดูก่อน


แบบทดสอบ | ธุรกิจของคุณพร้อมเติบโตหรือยัง? หรือถึงเวลาต้องใช้ที่ปรึกษาธุรกิจแล้ว?

คุณเคยสงสัยไหมว่าธุรกิจของคุณกำลังไปถูกทางหรือเปล่า? ลองสละเวลาทำแบบทดสอบนี้ (ใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที!) เพื่อดูว่าคุณควรจ้างที่ปรึกษาธุรกิจหรือไม่

📌 คุณมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้หรือไม่?




📌 คุณรู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเองดีแค่ไหน?




📌 ธุรกิจของคุณใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่?




📌 ROI จากการโฆษณาออนไลน์ของคุณเป็นอย่างไร?




📌 คุณมีแผนขยายธุรกิจหรือไม่?






ทำแบบทดสอบแล้วอยากรู้ว่าควรเริ่มแก้ไขตรงไหน?

Rise Group Asia สามารถช่วยคุณวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ Data-Driven Business Growth พร้อมให้คำปรึกษาด้าน Marketing, Cost-Effective Strategy และ Digital Transformation

ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาฟรี! Rise Group Asia (RGA)

Facebook www.facebook.com/risegroupasia